วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

RED 19 [full chapter]







                RED 19


                คิมมินซอกไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัดแบบนี้ เมื่อเพื่อซี้คิมจุนมยอนไปตามเฝ้าพี่จงอินเรียนภาษา คนที่เขาพอจะพึ่งได้ในเวลานี้จึงมีแค่พี่ชายหน้าดุอย่างฮวางจื่อเทาเท่านั้น เพราะเขาต้องการเจอตัวพี่คริส แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะได้ได้โผล่มาเรียนเพราะมีคนของนายพลปาร์คมาดักรออยู่


               แม้จะนั่งอยู่ข้างกันแต่กลับไม่มีใครคิดจะเอ่ยปากอะไรออกมา ตั้งแต่เจอหน้าคนตัวเล็กก็บอกแค่ว่าต้องไปเจอคริส มีเรื่องเกี่ยวกับแบคฮยอน จื่อเทาก็ไม่ใช่คนช่างเซ้าซี้ พอได้ยินแบบนั้นก็พาขึ้นรถโดยสารมาพร้อมกันทันที ต้องยอมรับว่าในใจมันกำลังเพ้อฝันไปหาคุณหนูลูกนายแบงก์ใหญ่ที่จะต้องตัวคนเดียวในอีกไม่กี่เดือนเพราจงอินไปเรียนต่อต่างประเทศ เขามองเห็นโอกาสของตนเอง มองเห็นหนทางที่จะได้ยืนเคียงข้างคิมจุนมยอน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆตอนนี้มักจะแทรกเข้ามาทำลายความเพ้อฝันเหล่านั้นเสมอ

               ถึงมินซอกจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่จื่อเทารู้ดีว่ามันยิ่งกว่าเป็นเสียอีก

                ไม่มีใครลืมเรื่องแบบนั้นได้ง่ายๆหรอก

 “มินซอก”  จื่อเทาเห็นคนที่นั่งข้างๆหันมาเลิกคิ้วอย่างข้องใจว่าตนนั้นเรียกเจ้าตัวเพื่อะไร  “เราน่าจะคุยกันจริงจัง  พี่นอนไม่หลับที่เราเป็นแบบ

“เราลงตรงไหนอ่ะพี่”  เพราะไม่อยากพูดถึง จึงตัดสินใจขัดขึ้นเสียก่อน  ที่บอกว่าไม่เป็นไรนั้นก็แปลว่าเขาไม่เป็นอะไรจริงๆ  ไม่เป็นอะไรตราบที่เราทั้งคู่ไม่รื้อฟื้นมันขึ้นมาพูดอีก

“ป้ายหน้า”

มินซอกพนักหน้ารับรู้ก่อนจะหันออกไปมองวิวด้านนอกรถ  แสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการจะฟังหรือพูดอะไรอีกในเวลานี้  รอจนรถจอดถึงป้ายตามจุดหมาย  คนตัวเล็กเดินตามจื่อเทาลงไป  มองไปรอบลานด้านล่างของหอพักแต่ไม่พบรถสองล้อคู่ใจของคริส  ขอเดาเอาว่าคงนำไปจอดที่อื่นเพื่อความปลอดภัย 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ไอ้คริส” 


                ทั้งหมดรีบเข้ามาคุยกันด้านใน  ห้องที่คับแคบไม่ได้ทำให้มินซอกรู้สึกอึดอัดหรือรังเกียจอะไร  คนตัวเล็กไม่ใช่คนถือตัวและเวลานี้ก็มีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า  มินซอกเล่าทุกอย่างให้คริสฟัง  ทั้งเรื่องที่แบคฮยอนถูกพาตัวไป  เรื่องที่โทรมาขอความช่วยเหลือ  แล้วก็เรื่องที่แบคฮยอนฝากบอกคริสว่าคิดถึงมากเหลือเกิน  

                "ผมไปเช็คมาแล้ว นายพลปาร์คมีบ้านพักอยู่แค่ที่เดียว เร็วที่สุดคงเป็นวันพรุ่งนี้"

                "วันนี้เลยไม่ได้หรือไง"  คริสถามอย่างร้อนใจ

                "พรุ่งนี้เถอะครับ เราต้องรอบคอบให้มาก อีกอย่างผมกับจุนมยอนจะเข้าไปเอง ส่วนพี่ก็เตรียมตัวรออยู่ตรงจุดนัดหมาย โอกาสมีแค่ครั้งเดียว ถ้าเราพลาดพวกนั้นจะระวังตัวขึ้นอีก เราหมดทางแน่ๆ"


                คริสยังไม่อาจคลายกังวลได้ ในหัวไม่มีเรื่องดีๆอยู่เลยตั้งแต่วินาทีที่มินซอกบอกว่าแบคฮยอนโทรขอความช่วจเหลือแต่ถูกชานยอลจับได้ ปาร์คชานยอลมันเป็นหมาบ้าตัวจริง เวลาที่มันคุมตัวเองไม่อยู่นั้นน่ากลัวแค่ไหนทำไมคริสจะไม่รู้ แล้วกับแบคฮยอนที่อ่อนแอแบบนั้น...
บัดซบเอ้ย!


                .
               
                .

                .

               
                ประตูถูกเปิดออกช้าๆพร้อมกับร่างสูงของชานยอลที่ถือถาดอาหารเข้ามา ร่างสูงวางข้าวของลงบนโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆเตียงที่มีร่างบอบบางนอนนิ่งไม่แม้แต่จะหันมามองคนที่เข้ามาใหม่


                "แบคฮยอน กินข้าวเช้าหน่อยนะ"


                "......."


                "แบค..."


                "เรารู้แล้ว วางไว้แล้วก็ออกไปสักที"


                ชานยอลได้แต่ถอนใจ เป็นวันที่สองหลังจากเหตุการณ์นั้น แบคฮยอนไม่ยอมออกจากห้อง แรกๆแทบจะไม่ทานอะไรเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ตัดความรำคาญที่ชานยอลเข้ามาตื้อบ่อยจนต้องยอมทั้งๆที่แทบจะกินอะไรเข้าไปไม่ลง


                มันเป็นเพราะเขาเอง เป็นเขาที่เลือกเองว่าจะให้เรื่องเป็นแบบนี้ เขาไม่สนว่าแบคฮยอนจะเกลียดชังกันสักแค่ไหน เขาแค่ไม่อยากให้คนตัวเล็กทำร้ายหรือทรมานร่างกายของตนเอง เพราะแค่ถูกเขาทำร้ายแบคฮยอนก็แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว


                "เรารักแบคนะ ไม่ว่าแบคจะรู้สึกยังไง แต่เราก็รักแบคฮยอนจริงๆ"


                "ไม่หรอก ถ้ารักเรา ชานจะไม่ทำแบบนี้ ชานก็แค่กลัวจะเสียเราให้พี่คริส ชานกลัวจะแพ้เขา แล้วตอนนี้เราก็เกลียดชานแล้ว"  แบคฮยอนลุกขึ้นนั่งแล้วจ้องตากับคนที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน  "เราเกลียดชานยอลมากจริงๆ"


                "กินข้าวซะ"  ชานยอลไม่แม้แต่จะตอบโต้ประโยคเกลียดชังเหล่านั้น เขาไม่อยากต่อความยาวกับคนตัวเล็ก กลัวตนเองจะโมโหจนพลั้งมืออีก กลัวจะอีกฝ่ายจะกลั้นใจตายเพราะทนรังเกียจกันไม่ไหว ไม่ใช่ว่าชานยอลไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำ แต่ในเมื่อมันเป็นวิธีสุดท้ายที่จะรั้งแบคฮยอนไว้กับตนเอง เขาก็ไม่สนถูกผิดอะไรอีกแล้ว แบคฮยอนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ เขาจะเสียคนตัวเล็กไปไม่ได้


                "คุณชายครับ มีแขกขอเข้ามาเยี่ยมครับ" นายทหารเดินเข้าแจ้งธุระแก่ชานยอลที่นั่งเหม่ออยู่บนที่โต๊ะอาหารเพียงลำพัง อย่าว่าแต่แบคฮยอนกินอะไรไม่ลง ตัวชานยอลเองก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด


                "ใครครับ?"


                "เค้าบอกเป็นเพื่อนของคุณชายกับคุณแบคฮยอน ชื่อคิมมินซอกกับคิมจุนมยอนครับ จะให้เปิดทางเข้ามามั้ยครับ?"


                ชานยอลแปลกใจเล็กน้อยที่เพื่อนทั้งสองคนมาหาเขากับแบคฮยอนถึงที่นี่ แต่ก็พอเข้าใจถึงความวู่วามของมินซอกดี ยิ่งวันก่อนได้รับโทรศัพท์จากแบคฮยอน เพื่อนตัวเล็กจอมซ่าคงจะสืบสาวราวเรื่องจนรู้ที่อยู่ของพวกเขาได้ไม่ยาก ตระกูลนักเลงก็แบบนี้ คงใช้ทุกทางเทหมดหน้าตักหาตัวพวกเขาเชียวล่ะ


                "ครับ ให้เข้ามาได้ เพื่อนของผมเอง"


                เมื่อชานยอลเอ่ยปากอนุญาตไม่นานนักก็มีรถคันหรูติดฟิล์มทึบที่เห็นก็รู้ว่าเป็นรถของครอบครัวมินซอกมาจอดเสียชิดทางเข้าบ้าน เพื่อนตัวเล็กทั้งสองออกมาจากประตูด้านเบาะหลังแล้วปรี่เข้ามา มินซอกในชุดกางเกงยีนส์เสื้อฮู้ดคลุมหัวและแมสปิดจมูกและปากยืนชี้หน้าชานยอลอย่างเอาเรื่อง


                "แบคฮยอนอยู่ไหน"


                "มินซอ...."


                "ไม่ต้องพูดมาก ไม่อยากได้ยินเสียง ตอบมาแแบคฮยอนอยู่ไกนก็พอ"


                "เฮ้อ... ห้องนู้น"  ชานยอลถอนใจอย่างยอมแพ้ก่อนจะชี้ไปยังประตูห้องของแบคฮยอน มินซอกสะบัดหน้าหนีก่อนจะรีบตรงไปยังห้องที่ชานยอลบอกทาง


                จุนมยอนเดอนตามหลังมาได้แต่ส่งยิ้มให้เพื่อนตัวสูงที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าบนใบหน้า ทุกคนย่อมมีเหตุผลกับสิ่งที่ทำลงไป จุนมยอนเชื่อแบบนั้นเสมอ และชานยอลก็เป็นเพื่อนของตนมานาน ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อเลยว่าเพื่อนคนนี้จะทำอะไรโดยไร้เหตุผลอันสมควร


                "มินซอกไม่ค่อยสบายน่ะ อารมณ์เลยรุนแรงนิดหน่อย"


                "อืม ไม่เป็นไร"


                "ชานยอล ไม่ได้ทำร้ายแบคฮยอนใช่มั้ย เรากลัวจริงๆว่าความเป็นเพื่อนของพวกเรามันจะพังพินาศไปหมด"


                "ขอโทษจุนมยอน แต่เราน่ะ... ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยลงไปแล้ว"


                "ชานยอล..." ได้ยินเพียงเท่านี้คนตัวขาวก็เดาได้แล้วว่าชานยอลทำอะไรลงไป


                "เราเสียใจ ทั้งตอนที่ทำจนตอนนี้ เราก็ยังเสียใจ แต่ถึงย้อนเวลากลับไปได้เราก็จะทำแบบนี้อยู่ดี ขอโทษที่ฉันทำให้ความเป็นเพื่อนของพวกเราพัง แบคฮยอนกับมินซอกคงไม่อยากมองหน้าฉันอีกแล้ว จุนมยอนเองจะเกลียดฉันก็ได้นะ"


                "ทุกบาดแผลมีทางรักษานะ เมื่อทุกอย่างมันอยู่ถูกที่ถูกทางของมัน มันจะเยียวยาบาดแผลนั้นเอง เรายังเป็นเพื่อนกัน แบคฮยอนกับมินซอกก็เหมือนกัน พวกเขาแค่โกรธ แต่เมื่อถึงเวลา พวกเขาจะลืมมันได้แน่นอน"


                "ขอบคุณ" ชานยอลเอ่ยอย่างอ่อนล้า


                "เราจะเข้าไปดูแบคฮยอนสักหน่อย ชานยอลก็ทานข้าวบ้างนะ" คนตัวขาวชี้ไปยังโต๊ะอาหารที่ยังคงมีข้าวเต็มจานวางอยู่ ก่อนจะเดินตามมินซอกเข้าไปดูเพื่อนอีกคนที่คงบอบช้ำอยู่ไม่น้อย


                ชานยอลกลับไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม มองอาหารตรงหน้าแล้วก็อดเป็นห่วงแบคฮยอนไม่ได้ ข้าวเช้าที่เอาเข้าไปให้นั้นจะทานมันหรือยัง หวังว่าจุนมยอนกับในซอกคงจะพอทำให้แบคฮยอนเจริญอาหารขึ้นมาบ้าง


                ทิ้งให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันในห้องร่วมสองชั่วโมงโดยที่ชานยอลไม่เข้าไปยุ่มย่ามแม้แต่น้อย เขาคิดว่าตนไม่ควรปรากฏตัวเวลานี้ แบคฮยอนคงรู้สึกดีขึ้นหลังจากเจอเพื่อนๆ ถ้าเห็นหน้าเขาอาจจะพาให้หดหู่ขึ้นอีก


                เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กของมินซอกที่อยู่ในชุดเดิมเดินปรี่ผ่านหน้าไปขึ้นรถทันทีโดยไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน ซึ่งชานยอลก็ไม่อยากจะเร้าหรือเพราะคิดว่ามินซอกคงรู้แล้วว่าเขาทำอะไรแบคฮยอน ไม่แปลกที่จะโกรธจนไม่อยากมองหน้า


                "เราจะกลับแล้วนะ แบคฮยอนทานข้าวหมดแล้ว" จุนมยอนเดินออกมาพร้อมถาดอาหารที่ดูเหมือนจะถูกจัดการจนหมดเรียบร้อย


                "หรอ ดีแล้วล่ะ"


                "ยังไงก็ปล่อยให้แบคฮยอนอยู่คนเดียวสักพักนะ เดี๋ยวก็คงดีขึ้น"


                "อืม บอกคนรับขับดีๆล่ะ ขอบคุณมากนะจุนมยอน ฝากขอบคุณมินซอกด้วย"


                เพื่อนของเขากลับไปแล้ว บรรยากาศกลับมาอึมครึมเงียบเชียบอีกครั้ง ใจจริงอยากจะเข้าไปดูแบคฮยอนสักหน่อย แต่เพราะจุนมยอนบอกให้ปล่อยคนตัวเล็กไว้ ชานยอลก็ได้แต่เฝ้ารออีกคนออกมาเจอหน้ากันบ้าง


                ร่างสูงเดินออกไปสูดบรรยากาศด้านนอกเพราะอึดอัดไม่น้อยกับการหมกตัวอยู่ด้านใน อยากให้แบคฮยอนออกมายืนด้วยกันตรงนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงมีความสุขมากเหลือเกิน


                "นี่..." ความผิดปกคิบางอย่างเกิดขึ้นบนชั้นวางรองเท้าแบบที่ชานยอลสังเกตได้ รองเท้าที่เขาจำได้ว่าเป็นของมินซอกวางอยู่แต่กลับเป็นช่องรองเท้าของแบคฮยอนที่ว่างแทน


                มินซอกใส่รองเท้าไปผิดอย่างนั้นหรือ?


                เป็นไปไม่ได้...

                ไม่ว่าจะมินซอกหรือจุนมยอน ทั้งสองคนก็มีขนาดเท้าที่ใหญ่กว่าแบคฮยอนอยู่ ถึงจะเพียงเล็กร้อยแต่ก็ไม่น่าจะใส่รองเท้าของแบคฮยอนได้

                คิดได้อย่างนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าไปยังห้องนอนของคนตัวเล็ก พยายามจะเปิดประตูแล้วแต่ดูเหมือนมันจะถูกล็อคเอาไว้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แบคฮยอนไม่เคยล็อคห้องนี่นา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก


                "แบคฮยอน! เปิดประตู!"


                ก๊อก ก๊อก ก๊อก


                "ไปเอากุญแจมา! เอากุญแจมาให้ผม!"


                นายทหารที่ได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งไปหยิบเอากุญแจห้องมาให้คุณชายปาร์คตามคำสั่ง ชานยอลรีบไขกุญแจเข้าไปและก็พบว่าความหวังทั้งหมดพังทลายลงไปแล้ว มินซอกที่สวมเสื้อผ้าของแบคฮยอนกำลังนั่งยิ้มกริ่มอยู่บนที่นอน


                "เสียใจด้วยนะ แต่แบคฮยอนไม่ได้อยู่นี่แล้ว"



                .

                .

                .

                รถยนต์คันสีดำจอดเทียบขอบถนนไฮเวย์ใกล้กับฮายาบูสะคันโตที่มีชายสองคนยืนรออยู่ แบคฮยอนเปิดประตูลงจากรถพลางดึงเอาแมสปิดจมูกออก สองขาตรงดิ่งไปหาร่างสูงใหญ่ของคริสที่กำลังเดินมาหาเช่นกัน ทั้งคู่ถลันเข้ากอดกันแนบแน่นด้วยความโหยหา คนตัวเล็กปล่อยโฮออกมาทันทีที่ได้รับอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นและปลอดภัย


                "รีบไปกันได้แล้ว" จื่อเทาที่สวมบทคนขับรถให้รถของตระกูลคิมบอกกับทั้งคริสและแบคฮยอน บางทีชานยอลอาจรู้ตัวเร็วและตามมา ดังนั้งทั้งสองจึงจำเป็นต้องไปให้ไกลที่สุดเท่าจะำได้ในเวลานี้


                "ดูแลตัวเองกันดีๆนะ รีบๆไปเถอะ" จงอินที่มายืนรอพร้อมคริสอยู่นานหลายชั่วโมงก็รีบเอ่ยไล่เช่นกัน จุนมยอนโบกมือลาแบคฮยอนที่ยังคงสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของคริส ก่อนจะถูกจงอินดึงมือให้กลับมาขึ้นรถพร้อมปลอบว่าคริสจะดูแลแบคฮยอนได้ดีแน่นอน


                "เราต้องไปกันแล้ว มึงพร้อมจะไปกับกูใช่มั้ย" คริสถามย้ำ


                "ครับ... ผมจะไปกับพี่ เราจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว"


                "อืม ไปกันเถอะ" คริสจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผากมนก่อนจะขึ้นคร่อมรถคันโตโดยมีแบคฮยอนซ้อนท้ายกอดเอวเอาไว้แน่น


                คริสไม่ได้มีจุดหมาย ตอนนี้เขาแค่อยากพาแบคฮยอนไปให้ไกลที่สุด ไกลจนไม่มีใครตามพวกเขาเจอ ยิ่งพื้นที่ชนบท หรือเมืองเล็กๆจะยิ่งห่างหูห่างตาผู้คน พวกเขาคงรอดไปได้สักพักจนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางและหาหลักแหล่งที่อยู่ได้แน่นอน


                .
                .
                .


                "มึงเหนื่อยรึยัง" คริสเอ่ยถามเมื่อเวลานี้ทั้งคู่กำลังเดินอยู่ริมถนนโดยที่คริสต้องเข็นเจ้าฮายาบูสะลูกรักไปด้วย เพราะก่อนหน้าต้องซ่อนรถเอาไว้แล้วรีบไปเอามารอรับแบคฮยอนเขาจึงลืมคิดเรื่องเติมน้ำมันไปเสียสนิท ขับมาได้สี่ห้าชั่วโมงน้ำมันก็เกลี้ยงถังซะอย่างนั้น ยิ่งอยู่ช่วงถนนตัดเข้าตีนเขาแบบนี้ไม่ต้องฝันถึงปั๊มน้ำมันให้เสียเวลา ข้างทางมีแต่ป่าทั้งนั้น


                "ไม่ครับ ไม่เหนื่อยเลย โอ๊ย! พี่คริส!" แบคฮยอน เบิกตากว้างเพราะถูกอีกคนผลักจนแทบล้ม ชอบเล่นแรงๆอยู่เรื่อยเชียว


                "เด็กขี้โกหก" คริสพึมพำเบาๆกับตัวเอง ทำไมจะไม่รู้ว่าจริงๆแบคฮยอนเหนื่อยล้าแค่ไหน ท่าทางอิดโรยซ้ำยังต้องซ้อนอยู่บนเบาะรถนานๆคงทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังเอาแต่พูดว่าไม่เป็นไร มันน่าตีแรงๆเสียจริง


                คริสอยากให้เราทั้งคู่มีเวลามากกว่านี้ แต่เพราะต้องรีบเดินทางจึงเลือกที่จะเก็บเอาคำถามมากมายของตนไว้ก่อน เขาอยากถามเหลือเกินว่าแบคฮยอนนั้นเป็นอย่างไร ถูกชานยอลทำร้ายหรือเปล่า เจ็บตรงไหนบ้างมั้ย นอนหลับดีมั้ย กินข้าวได้เยอะแค่ไหน ตอนไม่มีเขาอยู่ใกล้ๆนั้นกลัวมากหรือเปล่า อยากจะกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย อยากจะบอกว่ารักซ้ำแล้วซ้ำอีกไปจนกว่าเราจะตายจากกัน


                "เจ้าหนุ่ม รถเป็นอะไรกันล่ะลูก" เสียงเรียกจากด้านหลังรั้งให้คริสและแบคฮยอนต้องหันกลับไปมอง ชายหญิงสูงวัยสองคนกำลังเข็นรถเหล็กพื้นไม้สำหรับใส่ของที่บัดนี้มันว่างเปล่ากำลังตามหลังพวกเขามา


                "คือ... น้ำมันหมดครับ"


                "เอ้อ แถวนี้ไม่ปั๊มน้ำมันหรอก พวกเอ็งจะเข็นมันไปถึงไหนล่ะ"


                "ไม่มีเลยหรอครับ เลยไปอีกหน่อยก็ไม่มีหรอ?"


                "ไม่มีๆ นู้น พ้นเขตจังหวัดไปนู้น อย่าหาว่าลุงกับป้ายุ่งเลยนะ แต่เห็นพวกเอ็งแล้วก็สงสาร บ้านเราอยู่โค้งหน้านี่เอง คืนนี้ไปพักก่อนได้ ตะวันจะตกดินอยู่แล้ว รุ่งเช้าลุงจะพาไปหาซื้อน้ำมันมาใส่รถ"


                คริสและแบคฮยอนมองหน้ากันอย่างช่างใจ เพราะพวกเขากำลังหนี มันทำให้ระแวงทุกอย่างไปโดยอัตโนมัติ แต่เวลานี้ก็เริ่มเย็นแล้ว ถ้ารั้งจะไปต่อก็ไม่รู้จะพักที่ไหนอยู่ดี ยังไงเสี่ยงดวงตรงนี้คงจะเป็นทางที่ดีมากกว่า


                "ตกลงครับ ขอบคุณมากเลย"


                .
                .
                .


                "ทานอะไรหน่อยเถอะชานยอล"  จุนมยอนเอ่ยกับเพื่อนตัวสูงที่ยังไม่ยอมทานอะไรตั้งแต่แบคฮยอนหนีไปจากบ้านพัก หลังจากส่งแบคฮยอนถึงมือของคริส จุนมยอนจงอินและเทาก็กลับมารับมินซอกที่นี่ จากที่ตั้งใจจะพามินซอกกลับทันทีก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนชานยอลแทนเพราะท่าทางราวกับคนใจสะลายนั้นทำเอาเพื่อนๆกลัวว่าเจ้าตัวจะคิดสั้น


                ดูเหมือนเรื่องที่แบคฮยอนหนีไปแล้วจะยังไม่ถึงหูพวกผู้ใหญ่ มินซอกบอกว่าชานยอลไม่โทรบอกใคร พอเห็นว่ามินซอกสลับตัวกับแบคฮยอนแล้วก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


                "จะตรอมใจแบคฮยอนก็ไม่กลับมาหรอก แล้วเราก็ไม่รู้สึกผิดที่ช่วยแบคฮยอนหนีด้วย"  ถ้าจะมีใครสักคนที่ได้ฉายาว่าเล็กพริกขี้หนูก็คงไม่พ้นมินซอกแน่ ตัวก็เท่านี้ แต่นิสัยนักเลงเสียจริง พูดจาก็ขวานผ่าซากอย่างนั้น จุนมยอนแทบจะวิ่งไปเอามืออุดปากมินซอกเอาไว้เมื่อเจ้าตัวบอกชานยอลด้วยประโยคที่ตัดกำลังใจอย่างถึงที่สุด


                "แล้วต้องทำยังไง ต้องทำยังไงแบคฮยอนถึงจะกลับมา"


                "ทำใจนั่นแหละ แต่แบคฮยอนไม่กลับมาแล้ว หยุดสักทีชานยอล สิ่งที่ตัวทำลงไปน่ะ อย่าว่าแต่แบคฮยอนเลย จริงๆไม่ควรมีใครมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ ปลอบตัวเองยังทำไม่ได้แล้วจะให้แบคฮยอนกลับมาอยู่ด้วยกันแบบทุกข์ทรมานเพื่ออะไร แบบนั้นใครจะปลอบใครได้ในเมื่อไม่มีใครมีความสุข"


                "มินซอกพูดถูกนะชานยอล พอแค่นี้เถอะ" จุนมยอนเสริมอีกแรง ตอนนี้ทั้งชานยอลและแบคฮยอนก็พังมากพอแล้ว ถ้ายังฝืนสุดท้ายจะไม่มีอะไรที่ซ่อมกลับมาให้เหมือนเดิมได้อีกแล้ว


                ชานยอลยังคงเงียบ แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนิมิตรหมายที่ดีก็เห็นจะเป็นการที่เจ้าตัวยอมกินข้าวที่จุนมยอนนำมาให้


                "พวกเราต้องกลับกันแล้ว อยู่ที่ชานยอลแล้วนะ ว่าจะทำยังไงต่อไป" คนตัวขาวว่าจบก็เดินนำออกไปหาจงอินและจื่อเทาที่รออยู่ด้านนอก โดยมีมินซอกลุกตามมาติดๆแต่เพื่อนตัวเล็กก็ยังส่งท้ายด้วยการวางมือบนบ่ากว้างของชานยอลแล้วบีบเบาๆ


                "พวกเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่นะ"


                .
                .
                .


                ขายาวก้าวลงจากรถทันทีที่จอดสนิท ชานยอลไม่แม้แต่จะเก็บข้าวของจากบ้านพักกลับมาด้วยซ้ำ เขาอ่อนแรงเกินกว่าจะทำอะไรทั้งนั้น ไม่มีแบคฮยอน ไม่มีอนาคตที่วาดฝันไว้


                "ชานยอล..." คุณหญิงเฮราวิ่งลงมาดูลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่กลับมาบ้านกระทันหัน "ทำไมกลับมาล่ะลูก แล้วแบคฮยอนล่ะจ๊ะ"


                ชานยอลมองผ่านผู้เป็นแม่ไปหานายพลปาร์คที่เดินลงบันไดมาช้าๆ


                "ผมเรียนผูก แต่ไม่เคยเรียนแก้ สุดท้ายเงื่อนตายที่ผมผูกเองมันก็แก้ไม่ได้"


                "แล้วแกทำยังไงกับมันล่ะ" นายพลปาร์คเอ่ยถามพลางสบแววตาที่อ่อนล้าของลูกชาย


                "ผมตัดมันทิ้ง... เชือกที่ผูกแบคฮยอนไว้ ผมตัดมันออก เขาไปแล้วครับ แบคฮยอนไปกับอี้ฟานแล้ว"


                "อะไรนะ!" เฮราที่ได้ยินดังนั้นก็รีบเข้ามารั้งแขนลูกชายเอาไว้ หล่อนไม่เข้าใจว่าที่ชานยอลพูดหมายความว่าอย่างไร "แบคฮยอนไปไหนลูกปล่อยให้แบคฮยอนหนีไปหรอ"


                "ผมเหนื่อยแล้วครับแม่ แม่ไม่เหนื่อยบ้างหรอ" ชานยอลแกะเอามือที่ยืดท่อนแขนของตนไว้ออกก่อนจะเดินขึ้นห้องไปโดยไม่สนว่าผู้เป็นแม่จะพูดอะไรตามหลังมา


                "หยุดนะเฮรา ไม่ต้องตามไป ผมปล่อยให้คุณบงการชีวิตลูกมานานเกินไปแล้ว หยุดเอาความโกรธแค้นของตัวเองไปฝังใส่หัวชานยอลสักที"


                "คุณ!"


                "อยู่เงียบๆไปซะ ผมจะจัดการเรื่องทั้งหมดเอง ผมจะคุยเรื่องนี้กับครอบครัวบยอน เพราะจากนี้มันเป็นเรื่องของแบคฮยอนกับอี้ฟานลูกชายผม"


                .
                .
                .


                คริสและแบคฮยอนกำลังนั่งร่วมวงทานอาหารเช้าง่ายๆที่สองลุงป้าเจ้าของบ้านเตรียมให้ เมื่อคืนพวกเขานอนพักที่นี่ บ้านหลังเล็กตัดเข้ามาจากถนนถึงตีนเขา ลุงกับป้าเจ้าของบ้านมีสวนผลไม้และแปลงผักเล็กๆที่สามารถเก็บไปขายในตลาดข้างทางเป็นรายได้พอกินพอใช้ ทั้งสองคนดูมีความสุขดีจนคริสไม่สงสัยสักนิดว่าทำไมชายหญิงสูงวัยคู่นี้ถึงได้เป็นคนจิตใจดี ใช่ว่าทุกคนจะมีน้ำใจมากพอต้อนรับคนแปลกหน้าให้พักที่บ้านได้ เขาและแบคฮยอนโชคดีจริงๆที่เจอทั้งสองคน


                "เอ็งจะไปซื้อน้ำมันเลยมั้ยล่ะ เดี๋ยวลุงจะขับรถพาไป ปั๊มคงเปิดแล้วล่ะเช้าป่านนี้"


                "คือ... ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ ผมกับน้องขอไปลงท่ารถได้มั้ยครับ แล้วอยากจะรบกวนฝากรถของผมเอาไว้ก่อน"


                "พี่คริส..." แบคฮยอนไม่เข้าใจเอาเสียเลย


                "เอางั้นหรือ แล้วแต่พวกเอ็งเถอะ ในสวนก็ที่เยอะแยะ จะเอารถมาจอดสักสิบคันก็ได้"


                คริสและแบคฮยอนเดินทางมาถุงท่ารถโดยมีคุณลุงผู้ใจดีมาส่งถึงที่ คนตัวสูงอธิบายให้เด็กน้อยเข้าใจว่าหากขับรถมาก็ต้องลำบากหาน้ำมันเติมระหว่างทางอีก ซ้ำยังอาจถูกตามตัวได้ง่ายขึ้นด้วย สู้เดินทางด้วยรถโดยสารปะปนกับผู้คนมากมายน่าจะปลอดภัยกว่า


                คริสชำเลืองมองคนตัวเล็กที่หลับคอพับคออ่อนตั้งแต่ขึ้นรถมาได้ไม่นาน ท่าทางคุณหนูบยอนจะหมดพลังงานไปกับการเดินทางตั้งแต่เมื่อวานนี้ เขาไม่อยากพาแบคฮยอนมาลำบาก แต่เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันมันก็จำเป็นต้องสู้ สัญญากับตนเองในใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายสบายที่สุด พาลูกเขามาแล้ว ก็ต้องเลี้ยงให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม


                การเดินทางเนิ่นนานเป็นวันนั้นดูดพลังจากทั้งคู่ไปจนหมด พวกเขาเดินหาห้องพักรายวันที่จะพักผ่อนในคืนนี้ก่อนจะคิดกันอีกทีว่าพรุ่งนี้จะทำย่างไรต่อไป เงินที่พกติดมามีมากพอสมควรที่จะไม่ทำให้เขาและแบคฮยอนต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆ แต่มันก็คงไม่พอที่จะนอนกินนอนใช้ไปตลอด พรุ่งนี้ต้องหาที่พักเป็นหลักแหล่งและเขาคงต้องหางานทำสักที่


                "มันไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ห้องพักดีๆคงหาไม่ได้"


                "ไม่เป็นไรหรอกครับ เอาแค่พอนอนได้ พรุ่งนี้เราค่อยเริ่มใหม่นะ" แบคฮยอนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แม้จะลำบากแต่การที่ได้อยู่ด้วยกันก็ทำให้ใจดวงเล็กๆฮึดสู้เหลือเกิน


                สุดท้ายพวกเขาก็ได้โมเต็ลเก่าๆเป็นที่พักชั่วคราว สภาพที่ขาดการดูแลชวนสยองไม่น้อย ไม่ต้องบอกเลยว่าแบคฮยอนกลัวผีซะจนไม่กล้าปิดประตูห้องน้ำ คริสไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับร่างเปลือยเปล่าที่วับๆแวมๆอยู่ใกล้ๆ เขาน่ะเคยเห็นมาหมดแล้ว อาบน้ำขัดตัวให้แบคฮยอนก็ทำมาแล้ว แต่ที่ทำให้ใจกระตุกคงเป็นร่องรอยจ้ำแดงตามตัวนั่นมากกว่า ไม่บอกก็รู้ว่าคนตัวเล็กเจออะไรมา


                ขอสาบานว่าเขาจะฆ่าปาร์คชานยอลแน่ถ้ามีโอกาส


                "อาบเสร็จแล้วครับ พี่คริสจะอาบรึเปล่า"


                "อืม นี่เสื้อผ้ามึง" คริสส่งกระเป๋าเสื้อผ้าที่มินซอกและจุนมยอนเตรียมให้ซึ่งก็เป็นเสื้อผ้าของเด็กสองคนนั้นเอง ครั้นจะไปเก็บเสื้อผ้าของแบคฮยอนมาจากที่บ้านก็คงถูกจับได้แน่  คิดว่าจะไปอาบน้ำ  แต่ก็เปลี่ยนใจ  ร่างสูงยืนมองแบคฮยอนที่กำลังจัดแจงใส่เสื้อผ้า  ยิ่งเห็นรอยช้ำๆนั่นก็ยิ่งทุกข์ใจ  สองขาก้าวตรงไปหาอีกฝ่ายก่อนจะกอดเอาไว้แนบแน่น

                "พี่คริส  เป็นอะไรครับ"

                "มันทำอะไรมึงบ้าง  บอกกูมาให้หมด  รอยพวกนี้มึงเจ็บรึเปล่า"  กระซิบถามข้างหูอย่างอ่อนโยน  หากแบคฮยอนบอกว่าเจ็บ  เขาก็จะปลอบให้หาย  หากบอกว่าโกรธ  เขาก็จะไปฆ่าปาร์คชานยอลให้  ขอเพียงแบคฮยอนบอกมา  เขาจะทำให้ทุกๆอย่าง  ตอนนี้ชีวิตของอู๋อี้ฟานเป็นของบยอนแบคฮยอนแล้ว

                "ไม่...  อย่าพูดถึงเลยนะครับ"  แบคฮยอนหันหน้าสบตาคนตัวสูงที่กอดออดอ้อนอยู่แนบกาย  สองมือเรียวสวยประคองใบหน้าหล่อเอาไว้  เขย่งตัวขึ้นจุมพิตแผ่วเบาก่อนจะถูกโต้ตอบกลับด้วยความลึกซึ้งยิ่งขึ้น

                สองร่างกอดรัดกันพลางป้อนจูบรุนแรงและโหยหา  คริสพาแบคฮยอนมาทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง  ริมฝีปากไม่ห่างจากกันแม้แต่น้อย  สองมือลูบไล้เค้นคลึงผะแผ่ว  แม้ความคิดถึงจะโหมแรงดั่งพายุ  แต่ร่างสูงก็มีสติมากพอที่จะยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ทำตามอารมณ์  เขาอยากอ่อนโยนที่สุด  ถนอมแบคฮยอนที่สุด  ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องช้ำไปมากกว่านี้ 

                "อืม...  พี่คริส"  ร่างกายที่ยังค้างคากับการสวมเสื้อผ้าก็โดนมือหนาจับปลดเปลื้องออกไปอีกครั้ง  ร่างกายบิดเร้าจากสัมผัสแผ่วเบาตามผิวกาย  คริสอ่อนโยนจนร่างบอบบางแทบหลอมละลาย  แบคฮยอนหลับตารับทุกๆความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้  ลืมหมดทุกสิ่งที่ผ่านมา  ทุกสิ่งที่ทำให้บอบช้ำ

                คริสละออกจากร่างตรงหน้าแล้วถอดเสื้อผ้าที่แสนน่ารำคาญในช่วงเวลานี้ออกไป  เขาจูบซับทุกๆส่วนที่ขึ้นรอยช้ำให้เห็น  จูบล้างความเจ็บปวดที่แบคฮยอนต้องเจอ  มอบสัมผัสของตนเพื่อรักษาเยียวยาและสร้างความทรงจำที่งดงามให้กับคนตัวเล็ก 

                ร่างกายเปล่าเปลือยเบียดสีกันอย่างเร่าร้อน   คริสจับเอาขาเรียวแยกออกแล้วแทรกเข้าไปตรงกลางเพื่อให้ทุกส่วนแนบแน่นกันยิ่งกว่าเดิม  มือหนาไล้ลงมายังช่องทางด้านหลัง  แบคฮยอนแสดงอาการสะดุ้งเล็กน้อยซึ่งคริสก็เดาว่ามันยังคงเจ็บอยู่  ก้านนิ้วยาวแทรกเข้าไปช้าๆ  ผนังภายในเต้นตุบราวกับจะต่อต้านก่อนที่จะผ่อนคลายลงในที่สุด

                "อือ  ผม... อ๊ะ"  มือเรียวสวยจิกเข้ากับแผ่นหลังแน่นกล้ามเนื้อ  กอดร่างสูงใหญ่เอาไว้สุดแรงเพราะท่อนกายที่แทรกเข้ามาแทนก้านนิ้ว  แน่นอนว่ามันยังคงเจ็บแต่เพราะคนๆนี้คือคริส  แบคฮยอนจึงยอมอดทน 

                "กูรักมึงแบคฮยอน  อืมมมม รักมาก"  เสียงอ่อนโยนพร่ำบอกพลางแทรกกายเข้าออกใส่ร่างบอบบางที่แสนรักและหวงแหน 

                "ผม...  อื้อ  ก็รัก  อ๊ะ อ๊ะ พี่คริส  อ๊ะ"

                บทรักที่แสนหวานและซาบซ่านดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน  ป้อนคำรักพร้อมจุมพิตไม่ห่าง  สอดประสานร่างกายเข้าหากันเป็นจังหวะนุ่มนวล   ส่งทุกๆความรู้สึกผ่านสัมผัสให้ลึกเข้าไปถึงหัวใจ  ค่ำคืนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความรักอย่างแท้จริง  ทั้งคู่เป็นของกันและกันด้วยความเต็มใจ  และจากนี้ก็จะเป็นของกันและกันตลอดไป









#ฟิคสีแดง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น