กองโจร 7 - Raspberry part.1
ฉึก!
มีดเล่มเล็กปักลงกลางลำต้นของไม้ใหญ่ แต่นั่นก็ไม่ได้หน้ายินดี
เพราะต้นไม้ที่อยู่ข้างๆกันนั้นคือเป้าที่แท้จริงของมีดที่เซฮุนปาออกไป
ต้องปาต้นนี้ แต่กลับไปโดนอีกต้น สายตาเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ไม่ห่าง
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจนัก เซฮุนถอนใจเฮือกใหญ่ระหว่างเดินไปหยิบมีดกลับมา
"แย่อ่ะ"คนตัวขาวบ่นเบาๆแต่กระนั้น
ครูฝึกจำเป็นอย่างไคก็ยังได้ยินอยู่ดี
ไคลุกขึ้นเดินตรงไปหาเซฮุนที่ยืนหน้าบูดบึ้ง
อยากจะให้กำลังใจเพราะเท่าที่ดูแล้วเซฮุนนั้นก็ทำได้ไม่เลวจริงๆ
จากคนที่ไม่มีทักษะการใช้อาวุธ เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็สามารถปามีดปักกลางต้นไม้ใหญ่ได้แม้จะคนละต้นกับที่เขาตั้งเป้าเอาไว้ให้ก็ตาม
"ไม่แย่หรอกครับ"
"แย่สิ"เซฮุนยังคงเถียง
"ไม่แย่เลย
คุณเก่งมากแล้วล่ะ"ไคยังคงเอ่ยให้กำลังใจกับเด็กหนุ่มตรงหน้านี่ต่อแม้เจ้าตัวจะเอาแต่เถียงก็ตาม
มือหนาส่งไปเพื่อรับมีดจากอีกฝ่าย
ซึ่งเซฮุนก็วางด้ามมันลงมาแรงๆบนฝ่ามือที่แบรออยู่
"แน่ล่ะ ผมเก่งอยู่แล้ว
ที่บอกว่าแย่นี่ไม่ใช่ตัวเอง แต่ผมบอกว่าคุณน่ะมันแย่! แย่มากๆ แย่!
แย่!"เซฮุนที่วางส่งมีดให้คแล้วก็ใช้สองมือที่วางอยู่นั้นผลักอกอีกฝ่ายแรงๆจนเซไปด้านหลัง
"ผะ ผมหรอ"ไคได้แต่งยืนงงกับท่าทางและอารมณ์ที่แปรปรวนของเซฮุน
เขาแย่อย่างนั้นหรือ เขาแย่เรื่องอะไรกันเล่า
"แย่มาก เป็นครูที่แย่
นี่อุตส่าห์ปาไปโดนต้นอื่นแล้วก็ยังไม่สนใจกันอีก
นี่จะไม่ยอมคุยด้วยให้ได้เลยใช่มั้ย จะไม่สนใจผมแล้วใช่มั้ย คนนิสัยไม่ดี!"
คนฟังแทบจะหลุดขำ อุตส่าห์ปาให้โดนต้นอื่น? แปลว่าตั้งใจล่ะสินะ จริงๆปาให้โดนเป้าก็คงทำได้แต่ก็ยังตั้งใจจะปาพลาด
นี่คือวิธีเรียกร้องความสนใจแบบเด็กๆหรืออย่างไร แล้วใครว่าเขาไม่สนใจกันเล่า
ตอนเซฮุนเผลอนั้นโดนแอบมองอยู่ตลอดไม่รู้ตัวบ้างเลยสินะ
“งั้น ให้คุณมินซอกมาสอน โอ๊ย!”
ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบประโยคก็ถูกเซฮุนเตะสุดแรงที่หน้าแข้งข้างซ้าย ตั้งแต่เจอคนตัวขาวนี่
ไคก็เจ็บตัวมาถึงสองครั้งสองครา คราวก่อนก็โดนปาของใส่ รอบนี้โดนเตะเสียอีก คนป่วยนี่บางครั้งก็แข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ
“คุณมันแย่ไปหมด!
เจอกันครั้งแรกก็หลอกผมว่าหลงทาง เดี๋ยวก็เอาดอกไม้มาให้ มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ มาคอยตาม
แล้วอยู่ดีๆก็ไม่คุยด้วย
ปล่อยให้ผมงงกับไอ้คำว่า คนของหัวหน้า ที่คุณเอาแต่พูดกรอกหูผม คนของหัวหน้าบ้าบออะไร คุณลองมองดูสิว่าตอนนี้หัวหน้าของคุณน่ะเห็นหัวผมมั้ย เห็นมั้ยว่าตอนนี้เขามองแต่แบคฮยอน คุณเลิกคิดไปเองสักทีว่าผมเป็นของใครต่อใคร งี่เง่า!”
ไคค้างนิ่งอยู่ท่าทางเดิมเพราะตั้งใจฟังประโยคระบายอารมณ์ของเซฮุนที่มาเป็นชุดแบบไม่หายใจไม่ห่วงโรคหอบจะกำเริบขึ้นมา แน่นอนว่าเขาเห็นแล้วเรื่องที่ชานยอลตามติดแบคฮยอนตลอดเวลา แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสักวันหนึ่งหัวหน้าที่เขาเคารพรักจะไม่เปลี่ยนใจกลับมาเล็งเป้าที่เซฮุนอีกครั้ง เขาต้องการความมั่นใจ
“ขอเวลาผมอีกหน่อยนะครับ ถ้าคุณรอได้
ขอให้รู้ว่าผมจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
ผมแค่อยากมั่นใจว่าสุดท้ายจะไม่มีใครมาพรากเอาคุณไปจากผม”
“…….”เซฮุนไม่เข้าใจสักนิดว่าคนที่ท่าทางเข้มแข็งดุดันอย่างไคนั้นเหตุใดถึงได้คิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้
เรื่องของความรู้สึกนั้นจำเป็นต้องละเอียดอ่อน
แต่ในความละเอียดอ่อนนั้นก็ควรมีหนักแน่นอยู่เช่นกัน ดูเหมือนไคจะกังวลไปเสียทุกสิ่ง ทั้งๆที่เขายอมลดทิฐิลงแล้ว จากที่อีกตามเขาไม่ห่าง ตอนนี้กลายเป็นเขาต้องคอยทวงถามความรู้สึกจากอีกฝ่ายแทน
“รอบนี้ผมไม่มีดอกไม้มาให้ แต่ผมจะให้คุณไปเลือกเอง”ไคส่งมือไปตรงหน้าคนตัวขาวที่ยังคงแสดงสีหน้าบูดบึ้ง
เขาไม่แน่ใจว่าที่พดไปนั้นเซฮุนจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่ก็ยังอยากจะพูดออกไป แค่อยากให้อีกคนรอเขาสักหน่อยก็เท่านั้น
“ไปไหน?”แม้จะถามออกไปอย่างไม่มั่นใจ
แต่มือเรียวก็ส่งไปจับมือของไคเอาไว้
สองมือกระชับกันแน่นทันทีที่สัมผัสกัน
“ไปดูดอกไม้ครับ ทุกๆดอกล้วนมีความหมาย ผมอยากให้คุณเลือกสักดอก ดอกที่ตรงกับใจของคุณ”
"เป็นบ้าอะไรเนี่ย"ชานยอลเอ่ยถามเด็กหนุ่มตัวเล็กที่กำลังยกจอบไถหน้าดินอย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่ช่วงเช้า
เขามั่นใจว่าตัวเองเป็นคนตื่นเร็วแต่ก็ยังไม่ทันแบคฮยอนอยู่ดี เด็กคนนี้เคยชินกับการต้องตื่นแต่เช้าเพราะต้องรีบทำงาน
วันนี้ก็เช่นกัน แบคฮยอนตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
กว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าพื้นที่ข้างกายนั้นว่างเปล่า แบคฮยอนก็ทุ่มกำลังกายกับงานที่ไร่นี่จนเหงื่อท่วม
ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วคนตัวเล็กก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุดพัก
"....."แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไร
ไม่อาจบอกอีกคนได้ว่าที่ทำอยู่นี่เพราะความรู้สึกงี่เง่าของตัวเอง ความกังวลจากความฝัน
ความฝันที่ทำให้ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นตั้งแต่เช้ามืด ผ่านมาสิบปีกับความฝันเดิมๆ
แต่ค่ำคืนที่ผ่านมานี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ความฝันของเขาไม่ใช่ดอกแอปเปิ้ล
ไม่ใช่ใครบางคนที่เรียกให้เขาเข้าไปหา
คุณอลิซ... ใช่
นั่นชื่อของเธอที่เขารู้มาจากชานยอล
เขาฝันเห็นคุณอลิซนั่งอยู่บนเตียงกว้างที่เขารู้สึกคุ้นเคย และชานยอลที่อยู่ใกล้ๆนั่นกำลังเล็งปืนตรงกลางหน้าผากของเธอ
ร่างสูงเหนี่ยวไกพรากเอาชีวิตของคุณอลิซไปต่อหน้าต่อตาเขา และแบคฮยอนคนนี้ทำได้แค่เพียงมองเท่านั้น
เสียงปืนดังลั่นปะปนไปกับเสียงหวีดร้องน่าสมเพชของตัวเขาเอง ภาพตรงหน้าโหดร้ายและสะเทือนจิตใจ
มันทำให้แบคฮยอนฟุ้งซ่าน
"แบคฮยอน พอแล้ว พอ"ชานยอลคว้ามือเรียวสวยนั้นเอาไว้
"ปล่อย"
"เป็นอะไรไป
เมื่อคืนยังไม่ดื้อแบบนี้เลย"
"ไม่ ไม่ได้เป็น ปล่อยเถอะ
ขอผมทำงานต่อ"
ชานยอลไม่ได้ทำตามคำขอนั้น
แย่งเอาด้ามจอบจากคนตัวเล็กแล้ววางลงไปกับพื้น สองแขนกอดแบคฮยอนเอาไว้แน่น
ยิ่งคนในอ้อมแขนพยายามจะดิ้นหนีก็ยิ่งโอบรัดมากขึ้นไปอีก เมื่อคืนก็ยังยอมให้นอนกอดอยู่ดีๆ
ทำไมพอเช้าแล้วพยศเหมือนเดิมเสียได้ ไม่รู้จะใช้วิธีไหนมาปราบแล้วจริงๆ
ไม้อ่อนไม้แข็งงัดมาใช้จนหมด แต่ก็ได้ผลแค่ไม่นาน แบคฮยอนนั้นดื้อเกินไป
"เป็นอะไรก็บอกสิ อย่าให้ฉันต้องกังวลจะได้มั้ย"
"กังวลทำไม
ไม่ใช่เรื่องของลุงสักหน่อย"
"ไม่มีสมองประมวลผลเองหรือไง
ต้องให้บอกด้วยหรอว่าต่อไปนี้ทุกเรื่องของนายจะเป็นเรื่องของฉันด้วย ฮึ
ไม่ได้เรียนหนังสือก็โง่แบบนี้แหละ"
"เออ! ก็โง่ไง"คนตัวเล็กเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาเพราะคำพูดของชานยอล เขาเติบโตที่นี่
ทำแต่งานใช้แรงไม่เคยได้เรียนหนังสือ พอตอนนี้ชานยอลสั่งให้คนมาสอนหนังสือแต่เขาก็ยังไม่ได้เรียนอีก
คนอื่นไปหัดอ่านหัดเขียนแต่ชานยอลดันลากเขามานั่งคุยเรื่องไร้สาระบ้าง วาดรูปบ้าง เล่นไพ่บ้าง
แบบนี้ยังจะมีหน้ามาว่าเขาโง่เพราะไม่ได้เรียนหนังสืออีกงั้นหรือ
"เหม็นเหงื่อ"ดูเหมือนชานยอลจะไม่ได้ใส่ใจกับน้ำเสียงขุ่นเคืองของอีกฝ่าย คนตัวสูงเอาแต่พรมจูบลงที่แก้มเปื้อนเศษดิน
นั้น ไล่ไปเรื่อยทั้งลำคอและไหล่ลาด ปากก็พูดว่าเหม็นเหงื่อแต่กลับไม่หยุดที่จะหาเศษหาเลยกับเรือนกายนั้น
"ก็ปล่อย จะได้ไปอาบน้ำ"
"อืม อาบด้วยกันดีมั้ย"
"นี่!"แบคฮยอนออกแรงดิ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคลามกของชานยอล
"โวยวายทำไม ผู้ชายเหมือนกัน"
"ผมอาบน้ำกับผู้ชายด้วยกันได้
แต่ผู้ชายคนนั้นต้องไม่ใช่ลุง ลวนลามอยู่ได้ โรคจิตหรือไง ปล่อยสักที!"
"เล่นตัวจริงๆ
เป็นแค่เด็กหน้าตาบ้านๆแท้ๆ"ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่มือหนาก็ยังลูบหัวกลมนั้นด้วยความเอ็นดูหลังจากยอมปล่อยให้แบคฮยอนได้เป็นอิสระจากอ้อมแขน
.
.
.
คริสยืนมองไปรอบๆไร่ราสเบอร์รี่ที่ตนสั่งให้ปลูกเอาไว้ห่างจากเฮลิคโดมไปด้านหลังพอควร
โดยปกติจะมีคนงานคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาเข้ามาที่นี่ทุกคนจะต้องออกไปเพื่อให้เขาได้มีความเป็นส่วนตัว
ผลราสเบอร์รี่สีแดงสดดูงดงามยาวอยู่บนต้นที่ปลูกไว้ทอดยาวหลายแถว
แต่จุดประสงค์ที่สั่งมห้ปลูกขึ้นมานั้นไม่ใช่เพราะผลสีแดงน่าลิ้มรสนี้ แต่เป็นดอกเล็กๆของมันต่างหาก
เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ไม่ได้ทำให้เทศมนตรีคนนี้เป็นกังวล
เขารู้ดีว่าใครกันที่หาญกล้าเข้ามาในบริเวณทั้งๆที่เขายืนอยู่ คงไม่พ้นจะเป็นเลขาคนสนิทที่เขาสั่งความให้ไปทำงานส่วนตัวให้
และสั่งให้ตามมาพบที่ไร่นี้ทันทีที่กลับมาถึง จงแดเดินตรงไปหาคริสด้วยท่าทีนอบน้อม
โค้งให้ตามมารยาทเช่นทุกครั้งก่อนจะเริ่มเอ่ยธุระ
"หน่วยข่าวรายงานจากชานเมืองว่าพบชายท่าทางใกล้เคียงกับภาพสเก็ตช์ที่ถูกส่งไปให้ครับ
ผมให้คนเตรียมรถแล้ว ตั้งใจว่ารายงานท่านเสร็จก็จะเดินทางไปทันทีครับ"
"ดี
แล้วเรื่องที่ให้ลงไปทางใต้ล่ะ"
"ผมสอบถามดูจากชาวบ้านที่น่าจะอยู่มานานแล้ว
พวกเขาบอกว่าครอบครัวของปาร์คโซจินไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เหมือนว่าปาร์คโซจินจะเสียไปแล้ว
ส่วนน้องชายของเธอคือ...ปาร์คชานยอลครับ"
"ปาร์คชานยอล?"
"ปาร์คชานยอล
หัวหน้ากลุ่มไนกีครับ"
!!!
คริสกำมือแน่นทันทีที่ได้ยิน
ไอ้พวกไนกีที่ตามจองล้างจองผลาญเขาไม่เลือกนั้นที่แท้ก็เป็นไอ้เด็กชั่วน้องของโซจินนี่เอง
มันก่อกบฎแล้วยังทำเรื่องอุกอาจที่สุดด้วยการลักพาตัวลูกชายคนเดียวของเขาไป
"แล้วพวกมันอยู่ที่โอเพี้ยมใช่มั้ย
ดีโออยู่ด้วยรึเปล่า"
"ครับ
คุณหนูก็คงอยู่ที่โอเพี้ยมด้วย ชาวบ้านที่เคยเห็นพูดกันว่าปาร์คชานยอลมักจะไปไหนมาไหนกับเด็กผู้ชายตัวเล็กคนนึงครับ"
"ดีมากจงแด
งานของนายดีเยี่ยมเสมอ"คริสเอ่ยชมจบแดที่ทำงานได้ยอดเยี่ยมเสมอตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่เลขาให้กับเขา
ข้อมูลต่างๆก็ไม่เคยผิดพลาด
จนบางครั้งเขาก็แอบสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าตัวใช้วิธีไหนที่ได้ข้อมูลเหล่านั้นมาโดยง่ายและรวดเร็ว
หากแต่คิดอีกครั้ง มันไม่ได้สำคัญว่าจะใช้วิธีใด เพราะอย่างไรเสียทุกสิ่งที่จงแดทำก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อเขา
จึงไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรอีก
ตอนนี้สิ่งเดียวที่คริสต้องทำคือไปพาตัวดีโอกลับมา
ดูเหมือนแผนการที่จะยึดโอเพี้ยมคืนมานั้นจะต้องเลื่อนมาให้เร็วขึ้นเสียแล้ว
ยิ่งเร็วก็คงจะยิ่งดี พวกมันจะได้ไม่มีเวลาเตรียมตัว
"เป็นเกียรติเหลือเกินครับ
ที่ผลงานของผมทำให้ท่านพอใจ"
"อย่าถ่อมตัวนักเลย
ฉันเองก็ต้องพึ่งนายไปอีกนานเชียว นอกจากนายแล้วฉันก็ไม่รู้จะไว้ใจใครได้อีก
อยู่บนสุดสูงสุดแบบนี้ ปกครองคนมากมาย แต่ไว้ใจใครไม่ได้สักคน"
"มีคนอีกมากที่จงรักภักดีต่อท่าน
อย่ากังวลเลยครับ"
"ฮึ แต่ยังไงฉันก็ไว้ใจแค่นาย
รู้มั้ยจงแด ฉันปลูกไร่นี้ทำไม"
"ไม่ทราบครับท่าน"
"นี่แหละที่ฉันจะฝากกับนายเอาไว้
ถ้าฉันตาย... ให้เอาร่างของฉันมาฝังไว้ที่นี่นะ"
"ท่านครับ..."น้อยครั้งที่คนอย่างเทศมนตรีอี้ฟานจะพูดเรื่องความตายของตัวเอง ทำเอาคนที่ทำงานรับใช้มานานพอควรอย่างจงแดต้องรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
คนที่ภาคภูมิใจในอำนาจของตนอย่างคริสไม่น่าใช่คนที่จะเตรียมตัวรับมือกับความตายแบบนี้เลยจริงๆ
"รถที่จะไปชานเมืองเตรียมไว้แล้วสินะ
ฉันจะไปเอง ส่วนนายก็ช่วยไปดูคุณอลิซทีแล้วกัน"
คริสก้าวลงจากรถด้วยความเมื่อยล้า แม้จะใช้เวลาเดินทางไม่นาน
แต่ความปวดเมื่อยที่สะสมจากการนั่งทำงานนั้นก็ส่งผลไม่น้อย สองขาก้าวเข้าไปในโมเตลเก่าๆ ตึกแถวสองชั้นสภาพทรุดโทรมจนอดส่งสัยไม่ได้ว่ามันจะถล่มลงมาเมื่อไร 218คือหมายเลขห้องที่ถูกนัดแนะเอาไว้ เสียงบันไดดังออดแอดน่ากลัว
สภาพข้างนอกที่ว่าโทรมแล้วนั้นยังเทียบไม่ได้กับด้านในที่ทั้งโทรมทั้งอับชื้น กลิ่นเหม็นฉุนเข้าจมูก ระเบียงไม้ที่เอียงจวนจะล้ม
คริสอยากจะสั่งคนมารื้อที่นี่ทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รวด
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
รัวเคาะไปที่ประตูไม้ของห้องเป้าหมาย
เสียงเปิดกลอนจากด้านในดังขึ้นพร้อมกับประตูที่แง้มออก
ชายใส่แว่นสายตากรอบหนาสีดำนั้นส่งเพียงใบหน้าออกมาแอบมองผู้มาเยือนเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าคนที่มาอยู่ด้านหน้าเป็นใครก็รีบเปิดออกกว้าง
“เข้ามา เร็วเข้า”
คริสเดินตามเข้าไป
ชายหนุ่มสวมแว่นรีบปิดประตูลงกลอนทันทีที่ร่างสูงเข้ามาด้านในแล้ว
ชายร่างสูงใหญ่หนึ่งคนนั่งอยู่บนเตียงและหญิงสาวผมแดงฟู่ฟ่องข้างๆกัน
“ว้าว
ท่านเทศมนตรีมาเองเลยหรอเนี่ย”หญิงสาวผมแดงลุกจากเตียงเข้ามานัวเนียคริสที่ยืนส่ายหน้าระอากับพฤติกรรมของหญิงสาว
“ฮุค
มาพาแคสซิดี้กลับไปนั่งที”ชายหนุ่มสวมแว่นสั่งความ
ไม่นานชายร่างสูงใหญ่ก็เดินมาออกแรงดึงหญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องนี้ให้กลับไปนั่งที่เดิม
“เงินค่าจ้างฉันมันน้อยนักหรือไง ถึงต้องมาอยู่ที่แบบนี้”คริสเอ่ยถามเสียงเรียบ
“แหม
ท่าน นี่ชานเมืองนะครับ จะหาที่หรูหรามาจากไหน ฮึ
ผมจองยู นั่นฮุคกับแคสซิดี้ เราทำงานกันเป็นทีม”
“แล้วยังไง
ฉันไม่ได้สนว่าพวกนายทำงานกันยังไง
ฉันมาเพื่อธุระของฉัน และฉันก็อยากจะรู้ว่าธุระของฉันอยู่ที่ไหน”
จองยูยักไหล่
ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินนำคริสไปทางห้องน้ำ
ต้องยอมรับว่าท่านเทศมนตรีนี่ท่าทางถือตัวจนน่าหมั่นไส้ แต่เขาไม่สนใจนักหรอก ตราบใดที่มีเงินให้
จะถือยศถืออย่างยิ่งกว่านี้เขาก็พร้อมจะร่วมงานด้วยเสมอ
เปิดประตูห้องน้ำเข้าไปก็พบชายท่าทางเหมือนพวกจรจัดถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้ คริสเดินเข้าไปใกล้ จับใบหน้าของคนที่ไม่ได้สติขึ้นมามองให้ชัด
ใช่! นี่คือชางกีแน่นอน!
“ออกไปก่อน
ยกเว้นเธอ”คริสออกคำสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้อง
แต่กลับรั้งให้หญิงสาวผมแดงอยู่กับตน
แม้จองยูและฮุคจะไม่เข้าใจกับคำสั่งน้นเท่าไรนักแต่ก็ยอมออกไปโดยไม่ขัดขืน ส่วนหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวรีบถฃลาตัวมากอดแขนของคริสเอาไว้
แคสซิดี้เอียงศีรษะซบลงกับไหล่กว้างอย่างออดอ้อน ไม่รู้ว่าเหตุใดท่านเทศมนตรีจอมยะโสและถือตัวนี้ต้องการให้ตนอยู่ด้วย
เมื่อหาเหตุแห่งผลนี้ไม่ได้ จะนึกเข้าข้างตนเองไปก่อนว่าอีกฝ่ายคงจะคิดพิศวาสกันก็คงไม่ผิด
“ต้องการฉันหรอ ฮืม…”เอ่ยถามเสยกระเส่าที่ข้างหู
“เอาหน้าสกปรกของเธอออกไปให้พ้นๆตัวฉัน”
ปึก!
มือหนาส่งไปผลักเอาศีรษะของหญิงสาวออกอย่างแรงจนเจ้าหล่อนเซถลาไปกระแทกกับกำแพงอีกด้าน
หน้าผากชนเข้ากับขอบชั้นวางของจนแตกเป็นแผล เลือดซึมออกมาไหลลงข้างขมับเป็นทางยาว แคสซิดี้ยกปลายนิ้วขึ้นแตะปากแผลก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“แก… ไอ้บ้า!
แกเป็นบ้าอะไรเนี่ย!”หญิงสาวโวยวายเตรียมจะออกไปให้พ้นแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นจากโลหะบางอย่างที่หลังคอ
“ถ้าก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
ฉันจะปาดมันไปรอบๆคอเธอเลยล่ะ”คริสะกดน้ำหนักเพื่อให้มีดสั้นที่ตนพกมาด้วยนั้นได้สัมผัสผิวเนื้อที่หลังคอของหญิงสาว
“อย่ามาขู่ฉันนะ!”
“ก็กำลังทำอยู่”กดน้ำหนักลงไปเรื่อยๆ
แน่นอนว่าเขาขู่ตามที่บอก
เพราะยังไม่ได้ต้องการให้หล่อนรีบตาย
เสร็จธุระตรงนี้แล้วเขายังมีงานให้หล่อนทำอีก คงต้องยื้อกันไปก่อน
“พอ! ก็ได้ พอแล้ว
เอามีดออกไปสิ”ร่างทั้งร่างสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
ยิ่งสัมผัสถึงความคมที่บาดตรงหลังคอยิ่งกลัวจนทำสิ่งใดไม่ถูก
คริสเอามีดออกจากคอของหญิงสาว
ลดมือลงไว้ที่ข้างตัวแม้จะกำด้ามมีดนั้นแน่นไม่เปลี่ยนก็ตาม แคสซิดี้หันกลับมาอย่างระแวง มองมีดในมือหนานั้นสลับกับใบหน้าเรียบนิ่งของเจ้าของ
กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแล้วสบตาอีกครั้งเพื่อถามผ่านสายตาที่หวาดหวั่นนี้ไปว่าต้องการสิ่งใดจากเธอ
“ปลุกมัน”คริสออกคำสั่งให้หญิงสาวปลุกชางกีที่สลบอยู่บนเก้าอี้นั้น
เพราะเขาไม่รู้ว่าชางกีนั้นโดนอะไรที่ทำให้หมดสติไปเช่นนี้ สู้ให้คนรู้ปลุกจะดีกว่าเพราะหล่อนก็คงรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ชางกีตื่นขึ้นมา เขาจะเลือกใครก็ได้ในบรรดาสามคน
แต่เหตุที่เลือกหญิงสาวเพียงคนเดียวให้ช่วยตนนั้นเพราะหล่อนดูท่าทางจัดการและควบคุมง่ายกว่าผู้ชายอีกสองคน
“ปลุกให้ดังหน่อยก็พอ มันแค่โดนรมยาอ่อนๆ”หญิงสาวบอกพลางเดินไปเขย่าตัวคนที่ไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้
ออกเสียงเรียกที่คริสรู้สึกได้ว่ามันดังจนแทบจะปลุกห้องข้างๆได้
ชางกีขยับตัวน้อยๆราวกับกำลังรำคาญเสียงดังลั่นใกล้ๆหู
มือหนายกขึ้นห้ามปราบหญิงสาวก่อนจะโบกออกไปให้หล่อนออกไปให้พ้นทาง สองขาก้าวเข้าไปหาคนที่เริ่มรู้สึกตัว
ย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายได้มองเห็นชัดๆว่าใครที่ใจดีมาเยี่ยมเยือนกันในเวลาเช่นนี้
ชางกีค่อยๆปรับโฟกัสสายตาให้ชัดเจน
รู้สึกเหมือนใครบางคนอยู่ตรงหน้าแต่ก็ยังมองไม่ชัด กระพริบตาถี่แล้วเพ่งไปยังเบื้องหน้า ใจกระตุกวูบเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ผ่านมานานนับสิบปี ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอชายคนนี้อีก
ยิ่งในสภาพที่ตนถูกจับมัดอยู่นี่คงไม่อาจมองเป็นอย่างอืนได้นอกจากถูกจับตัวมาอย่างตั้งใจโดยชายตรงหน้าคนนี้
“สวัสดี… ชางกี
สบายดีรึเปล่า
หืม?”น้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใยนั้นไม่อาจทำให้เย็นใจได้แม้แต่น้อย คนที่แม้แต่น้องชายตัวเล็กๆยังคิดฆ่าได้
ไม่ว่าอะไรก็คงทำได้ทั้งนั้น
“ทำไม….” ใช่
ทำไม ทำไมคริสถึงต้องจับเขามา
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับแกนักหรอก แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเมื่อสิบสองปีก่อน
แกได้จัดการงานที่ฉันสั่งเรียบร้อยหรือเปล่า มีคนบอกว่าเห็นเด็กหนุ่มสักคนที่ดูคล้ายบีเพ่นพ่านอยู่ในเมืองหลวง เด็กที่น่าจะตายไปแล้วไม่ควรจะโผล่มาตอนนี้ใช่รึเปล่า”
“……..”ชางกีเลือกที่จะเงียบ
เขามั่นใจว่าครั้งนี้เขาคงจะไม่รอดจากเงื้อมมือนี้แน่ๆ
ไม่ว่าจะพูดอะไรหรือตอบสิ่งใด
โทษตายก็คงไม่ต่างกัน สู้ที่จะเงียบแบบนี้เพื่ออย่างน้อยก็มีหนึ่งชีวิตที่จะปลอดภัยต่อไป
“อย่าคิดว่าเงียบแล้วฉันจะไม่รู้ แค่แกไม่ยอมพูดอะไรฉันก็ได้คำตอบแล้ว แกมันใจอ่อนกับเด็กสินะ งั้นเรามาเปลี่ยนคำถามกันดีกว่า… แกเอาเด็กนั้นไปไว้ที่ไหน”
“….....”
“นี่ฉันยอมเสียเงินเสียทองจ้างคนไปลากคอแกมา แต่แกก็เอาแต่เงียบ ทำงานพลาดแล้วปากแข็ง แกมันไร้ประโยชน์”
ฉึก!
มีดสั้นถูกปักลงกลางศีรษะของคนบนเก้าอี้ ชางกีเบิกตากว้าง ร่างกายกระตุกเพียงเล็กน้อยก่อนลมหายใจจะหมดลงพร้อมกับเลือดสีแดงข้นที่ไหลออกมาจากปากแผลที่มีดยังปักคาอยู่ แคสซิดี้เองก็ตกใจไม่น้อย
ร่างของหญิงสาวทรุดลงกับพื้น
สั่นไปทั้งทั้งกายด้วยความหวาดกลัวต่อภาพตรงหน้า
ภาพที่คริสใช้มีดนั้นปักลงกลางศีรษะของชางกี โหดเหี้ยมเกินไป… ผู้ชายคนนี้
น่ากลัว
คริสดึงมีดออกมาไม่สนใจเลือดที่ทะลักออกจากปากแผลปะปนกับของเหลวสีอ่อน ริมฝีปากยกยิ้มกับภาพนั้น คิดในใจอย่างติดตลกว่าไม่น่าเชื่อที่ชางกีก็มีสมองเหมือนคนอื่นๆ
ปาดมีดลงบนเสื้อของคนที่สิ้นลมไปแล้วเพื่อทำความสะอาด
หันไปมองหญิงสาวที่นั่งร้องไห้ตัวสั่นอยู่บนพื้นก่อนจะเดินเข้าไปหา
“ล้างห้องน้ำด้วยล่ะ”
“ฮึก
ฮึก”ยังไม่อาจขยับตัวได้เมื่อมันยังสั่นไม่หยุด
ความกลัวและตกใจดูดเอาเรี่ยวแรงไปจนหมด
ได้แต่มองตามคนที่เดินออกไปแล้ว
ฟังเสียงพูดคุยที่ลอดผ่านมาจากด้านนอกใช้สติที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดจับใจความได้ว่าชายผู้โหดเหี้ยมคนนั้นเดินทางกลับไปแล้ว เธอรวมรวมแรงที่มีทั้งหมดแล้วกรีดร้องออกมา
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
.
.
.
แบคฮยอนอึดอัดจนแทบบ้ากับบรรยากาศมาคุในคฤหาสน์ของซูโฮ
เพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไรดีโอก็ไม่ยอมรับหนังสือสมรสนั้นเสียที
จนซูโฮต้องยอมแพ้และเรียกตัวชานยอลให้มาช่วยพูดอีกแรง
คนตัวเล็กได้กรอกตาไปมามองเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กยิ่งกว่าตนและร่างสูงที่คุ้นเคยกันดี ชานยอลพยายามเกลี้ยกล่อมดีโออยู่เป็นนานสองนาน ความสัมพันธ์ที่ห่างเหินของน้าหลานไม่อาจทำให้เรื่องราวคลี่คลายได้ง่ายดายดั่งที่คาดคิด
“ไม่
ทำไมดีโอต้องยอมจดทะเบียนกับคนแบบนั้น
คุณน้าจะเอาเรื่องความปลอดภัยมาอ้างก็บังคับดีโอไม่ได้
ยอมไม่ปลอดภัยยังจะดีกว่า”ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเด็กเล็กๆนั้นเชิดขึ้นเล็กน้อย ดีโอไม่ได้รังเกียจซูโฮ
ก็แค่ไม่ชอบที่คนๆนี้จับตนเองมาซ้ำยังบังคับให้จดทะเบียนสมรสด้วย วิธีโจรแบบนี้มันไม่ถูกต้อง เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลย
ถ้าต้องตกเป็นของคนแบบนี้จะไว้ใจได้อย่างไรกันว่าตนเองจะไม่ต้องเจอสถานการณ์แปลกๆเช่นนี้อีก
“แค่จดลงไปเท่านั้น เสร็จแล้วน้าจะยอมให้กลับบ้าน”เมื่อไม่รู้จะพูดอย่างไรให้อีกฝ่ายยินยอมก็คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ชานยอลพูดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ
ถึงจะอยากให้ดีโออยู่ห่างจากอี้ฟานมากแค่ไหน
แต่ก็ไม่เหลือทางเลือกให้เขาอีกแล้ว
ซูโฮทำหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยกับข้อเสนอที่ชานยอลยื่นให้ว่าที่คู่สมรสของตน
ถึงจะเรียกมาช่วยเจรจาแต่ก็ใช่จะแปลว่าชานยอลและดีโอมีสิทธิจะตัดสินใจกันเองเช่นนี้ จดทะเบียนสมรสก็เท่ากับแต่งงานกันแล้ว ถ้าแต่งงานก็ควรจะได้เข้าหอกันมิใช่หรอ จดทะเบียนแล้วกลับบ้านมันคืออะไร น้าหลานคู่นี้จะเอาแต่ใจกันมากเกินไปแล้ว
เขาเฝ้าเตรียมวิธีปราบพยศเด็กน้อยดีโอเอาไว้หลายร้อยวิธี ดังนั้นจะไม่ปล่อยให้กลับไปเด็ดขาด
“เฮ้
ผมว่าไม่ดีเท่าไรนะ
แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไรเล่า
ให้จดทะเบียนก็เพื่อความปลอดภัย
ถ้ากลับไปแล้วจะหาความปลอดภัยได้จากตรงไหนกัน”
“เลิกคิดแทนกันได้แล้ว ความปลอดภัยบ้าบออะไรนักหนา ดีโอถามก็ไม่บอก บังคับจะให้จดทะเบียนอย่างเดียว ยังไงก็ไม่ยอมหรอก คุณน้าอาจจะหลอกก็ได้ ถ้าดีโอยอมตกลงรับแล้วคุณน้าไม่ส่งดีโอกลับบ้านล่ะ จะไว้ใจได้ยังไง”
ชานยอลแทบจะกุมขมับ ทำไมเด็กวัยนี้ถึงดื้อรั้นนัก ที่ต้องรับมือกับแบคฮยอนทุกวันนี้ก็เหนื่อยไม่น้อยแล้ว นี่ยังมาเจอหลานแท้ๆทำฤทธิ์ใส่ซ้ำอีก
อยากจะปล่อยให้ซูโฮตีเสียให้เข็ด
“ทำไมถึงคิดว่าน้าจะโกหก”
“คุณน้าเป็นโจร….”ไม่ได้อยากจะพูดเช่นนั้น ดีโอแทบจะตีปากตัวเองที่พูดจาร้ายกาจ อย่างไรชายคนนี้ก็เป็นน้าของเขา
“ฮึ…งั้นลองบอกสิว่าคำพูดของโจรกับคำพูดของคนที่ทิ้งเมียที่กำลังท้องโดยไม่คิดจะแยแสนั้นใครที่เชื่อถือไม่ได้มากกว่ากัน”
“หมายความว่ายังไง”ดีโอเริ่มไม่แน่ใจกับท่าทางที่จริงจังของชานยอล
คำถามที่สื่อความหมายบางอย่างนั้นเด็กน้อยไม่อาจเข้าใจได้
“ไอ้โจรที่หลานบอกคนนี้มันคือคนที่คอยเลี้ยงหลานตั้งแต่เกิดจนวันที่ผู้ชายสารเลวนั้นมาพรากเอาหลานไป
แม่ของหลานต้องอุ้มท้องโดยที่ไอ้พ่อคนนั้นมันไม่เคยจะสนใจ ไม่แม้แต่เหลียวแลว่าเมียลูกจะอยู่ยังไง พอมันรู้ว่าจะหาประโยชน์จากลูกตัวเองได้ มันก็มาพรากเอาไปจากอกแม่ ผู้หญิงที่เคยถูกทิ้งอย่างไร้ค่าซ้ำต้องมาถูกพรากเอาลูกชายคนเดียวไปอีกคิดว่าเธอจะเป็นยังไง”
“ไม่จริง
คุณน้าพูดเรื่องอะไร หยุดพูดเดี๋ยวนี้”
“ฟังสิ
ฟังความจริง แม่ของหลานน่ะดีโอ… เธอตรอมใจตายไงล่ะ! “
“หยุด
หยุดพูดนะ”เด็กน้อยยกมือขึ้นปิดหู
ไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งสิ้น
อดีตที่โหดร้ายนั้นดีโอไม่อยากรับรู้มัน
“ทีนี้บอกน้าสิว่าคำพูดของไอ้สารเลวอี้ฟานนั้นมันเชื่อได้มากกว่าคำพูดของน้ารึเปล่า!”
“ฮืออออออออ บอกให้หยุดพูดไง!”เมื่อโดนชานยอลระเบิดอารมณ์ใส่
ดีโอเองก็ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาเช่นกัน สองมือยกขึ้นปิดหูแน่น
ส่ายหน้ารัวปฏิเสธทุกสิ่ง
ทุกสิ่งที่ได้ฟัง
ทุกสิ่งที่เป็นเรื่องจริง
“พอแล้วชานยอล”ซูโฮปรามแล้วเดินมากอดปลอบเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้
“จัดการให้ดีโอรับเอกสารซะ
เวลาใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว”ชานยอลเอ่ยด้วยอารมณ์ที่ยังไม่สงบดีนักก่อนจะลากแบคฮยอนที่นั่งหน้าเสียอยู่ไม่ห่างให้ออกไปจากคฤหาสน์นี้ด้วยกัน
ดีโอยังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของซูโฮ เวลานี้เด็กหนุ่มทั้งตกใจ ทั้งหวาดกลัวและทั้งยังสับสน
ทั้งที่เรื่องที่ชานยอลเล่านั้นตนจะไม่เชื่อก็ได้
แต่ความรู้สึกบางอย่างมันบอกว่าทั้งหมดนั้นคือความจริง
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นที่พ่อเคยบอกว่าแม่ของเขาเสียไปตอนที่คลอดเขาออกมาก็โกหกงั้นหรือ
ที่บอกว่าเลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิดนั้นก็คงดกหกใช่หรือเปล่า มิน่า...คุณย่าถึงได้เผลอพูดเรื่องที่เจอเขาครั้งแรกตอนสามขวบ
ที่ได้แต่สงสัยว่าคุณย่าไปอยู่ที่ไหนมาถึงได้เพ่งเจอเขาตอนสามขวบนั้นความจริงแล้วคือเขาเองสินะที่เพิ่งมาตอนสามขวบ
นี่แม่ของเขาตรอมใจตายโดยที่เขาไม่เคยรับรู้เลยอย่างนั้นสินะ
“ดีโอ…ทิ้งแม่
ปล่อยให้ ฮึก ปล่อยให้แม่ตาย ฮือออออออ”
“อย่าพูดแบบนั้นเด็กน้อย ตอนนั้นเธอเป็นแค่เด็ก มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย พวกผู้ใหญ่ทั้งนั้น ความโลภ ความหลง
ความดทะเยอทะยาน ความดำมืดในจิตใจ สิ่งเหล่านั้นที่ทำลายทุกสิ่ง แต่ไม่ใช่เธอ
เธอเป็นแค่เด็กที่มีจิตใจที่บริสุทธิ์
เธอเป็นสีขาว
และฉันก็อยากจะเห็นเธอเป็นสีขาวตลอดไป
อย่าเอาความผิดที่เธอไม่ได้ก่อมาสร้างรอยเปรอะเปื้อนแกหัวใจสีขาวของเธอเลยนะ”ลูบแผ่นหลังบางปลอบประโลม
“คุณน้า
โกรธดีโอมากแน่ๆ
คุณน้าคงเกลียดดีโอแล้ว
ทั้งๆที่เขาเลี้ยงดีโอมาตั้งแต่เกิด
แต่ดีโอกลับ….”ผละออกมาแล้วเช็ดคราบน้ำตาลวกๆ
นึกถึงน้าชายที่ระเบิดอารมณ์ใส่ตนเมื่อครู่ก็ยังกลัวไม่หาย
“ฉันจะไม่พูดหรอกนะว่าชานยอลไม่โกรธ
เพราะเห็นอย่ว่าโกรธขนาดไหน แต่เชื่อฉันเถอะว่าชานยอลไม่ได้เกลียดเธอ เขาไม่เกลียดเธอแน่นอน เธอคือหลานคนเดียวของเขา เขารักเธอมากๆ
ถึงได้พยายามจะให้เธอสมรสฉัน”
“อืม
ดีโอเข้าใจแล้ว
คุณเอาเอกสารมาสิ
ดีโอจะได้ลงชื่อ”ถามหาเอกสารที่ถูกบังคับให้ลงชื่อมาหลายวัน
“ฮึ
ไม่ต้องหรอก เอาไว้เธอพร้อมก็ได้ ไปนอนพักผ่อนก่อนเถอะ
ร้องไห้จนตาบวมแล้ว”ซูโฮลูบศีรษะกลมนั้นเบาๆ
ส่งสายตาเรียกพ่อบ้านซายังที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยให้มารับเด็กหนุ่มตัวเล็กไปพักผ่อน
คิดแล้วก็นึกขำ
นานๆครั้งจะได้เห็นชานยอลโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ คิดว่าป่านนี้เจ้าตัวอาจจะกำลังรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ได้แต่หวังว่าเรื่องจะจบลงด้วยดีเร็วๆนี้
.
.
.
แบคฮยอนนอนฟังเสียงหัวใจจากอกแกร่งของชานยอลที่ตนนอนแนบใบหน้าอยู่บนเตียง
แม้จะค่ำแล้วแต่ทั้งคู่ก็ยังไม่อาจข่มตาหลับ
ชานยอลกำลังไม่สบายใจที่เผลอระเบิดอารมณ์ใส่หลานชายไป ส่วนแบคฮยอนก็กำลังคิดถึงกฎที่ว่าต้องประหารครอบครัวของเทศมนตรีที่ถูกยึดอำนาจทั้งหมด
“ลุง…”
“อืม”
ถ้าคุณซูโฮขึ้นเป็นเทศมนตรีแล้ว ครอบครัวของเทศมนตรีอี้ฟานจะต้องถูกประหารทั้งหมดเลยหรอ”
“ใช่
ตามกฎ
ถามทำไม”ชานยอลหลุบตาลงมองเด็กหนุ่มที่นอนหนุนอกของตนอยู่ในอ้อมกอด
“ก็
ไม่มีละเว้นบ้างหรือไง จะเด็ก ผู้หญิง
คนแก่ ไม่ละเว้นบ้างหรอ”
“แบคฮยอน
การที่กฎถูกตั้งขึ้นมามันย่อมมีเหตุผล
กฎนี้ตั้งขึ้นมานานแล้วยุคของเทศมนตรีซีวอนที่ยึดอำนาจได้จากเทศมนตรียุนโฮ ตอนนั้นท่านซีวอนเกิดใจอ่อนให้แก่น้องชายของท่านยุนโฮ รับเป็นน้องชายบุญธรรมและชุบเลี้ยงอย่างดี พอเวลาผ่านไปน้องชายของท่านยุนโฮก็ก่อกบฏ
โชคดีที่ท่านซีวอนเองก็แข็งแกร่งมากพอที่จะปราบกบฏนั้นได้จนสิ้นซาก หลังจากนั้นท่านก็ตระหนักได้ว่าไม่ควรไว้ชีวิตคนในครอบครัวของท่านยุนโฮเพื่อมาเป็นหอกข้างแคร่ในภายหลัง กฎนี้จึงถูกตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้นอีก”
แบคฮยอนได้แต่คิดตาม ตอนนี้เขากังวลไปหมด เรื่องของผู้หญิงคนนั้น คุณอลิซ บางอย่างบอกเขาว่าเธอผูกพันกับเขามากแค่ไหน หรือเขาอาจจะคิดไปเอง
เพราะเป็นเด็กกำพร้าพอมีคนมาเรียกว่าเป็นลูกใจมันก็พองโต จะใช่หรือเปล่า บางทีเขาอาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอก็เป็นได้
เพราะมัวแต่เผลอคิดไปเรื่อยจึงไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ตนนอนหนุนแผ่นอกนั้นขยับตัวออกเปลี่ยนท่าทางไปแล้ว แบคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ริมฝีปากของชานยอลสัมผัสที่มุมปากของตนเอง
เบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าตอนนี้ชานยอลกำลังคร่อมอยู่เหนือร่าง ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ผู้ชายคนนี้เริ่มเป็นเหมือนที่พ่อบ้านซายังบอกเขาเข้าไปทุกทีแล้ว เผลอไม่ได้เลยจริงๆ
“ลุกออกไปเลยนะเว้ย!”
“พูดไม่เพราะ
ทำไมชอบทำเสียบรรยากาศหืมแบคฮยอน”ชานยอลยังคงพรมจูบลงไปซ้ำๆไม่ได้สนใจกับท่าทีปัดป้องของเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ร่างสักนิด
“บรรยากาศบ้าอะไร ไอ้ลุงนี่
เป็นไรวะ!”มือเรียวทั้งผลักทั้งดันให้ใบหน้าหล่อนั้นออกไปให้พ้นเสีย แต่ชานยอลก็แรงเยอะกว่ามากนัก แน่นอนว่าในฐานะผู้ชาย แบคฮยอนก็ถือว่าแข็งแรงไม่น้อย แต่สู้กับแรงของชานยอลไม่ได้สักนิด
ไม่รู้ว่าคุณหัวหน้ากองโจรคนนี้แข่งแกร่งมาจากไหน
“ชู่ว
ฟังฉันแบคฮยอน…
ที่ฉันเล่าให้ฟังน่ะ
เรื่องของเทศมนตรีซีวอน
มันบอกอะไรเราถึงสองอย่าง
รู้มั้ย”ชานยอลล็อกข้อมือของแบคฮยอนเอาไว้เหนือศีรษะ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อะ อะไร”
“มันบอกเหตุผลที่ตั้งกฎนั้นขึ้นมาและสอง…บอกว่าการก่อกบฏก็ใช่ว่าจะได้รับชัยชนะเสมอไป”
“……..”แบคฮยอนเข้าใจ
ถ้าก่อกบฏต่อรัฐเมื่อใด
ต้องชนะเท่านั้น
เพราะถ้าแพ้นั้นจะหมายถึงชีวิตทันที
นี่คือการทิ้งชีวิตตนไปแล้วครึ่งหนึ่ง
แค่รอเท่านั้นว่าอีกครึ่งจะรักษาเอาไว้ได้หรือให้มันตามอีกครึ่งหนึ่งไป
“ฉันไม่รู้ว่าพวกมันจะส่งคนมาเมื่อไร อาจจะอีกสองสามวัน หรือวันพรุ่งนี้ ไม่แน่ก็อาจจะคืนนี้ ฉันไม่รู้ว่าเราจะชนะหรือเปล่า นี่มันอาจเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้กอดนายแบบนี้”แม้สายตาจะจริงจังแค่ไหนแต่ก็ยังเชื่อมหวานหลอกล่อให้เด็กน้อยผู้ไม่ประสาต้องเผลอใจ
“บางทีเราอาจจะตาย…”แบคฮยอนคิดเช่นนั้น
บางทีพวกเขาอาจจะตายถ้าพ่ายแพ้
หรือถ้าชนะ…. แบคฮยอนก็คงต้องตายอยู่ดี
จะปฏิเสธอย่างไรว่าตนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณอลิซคนนั้น ความรู้สึกมันชัดเจนอยู่แล้ว
เขาแค่ไม่อยากจะยอมรับ ไม่รู้ว่าเพราะกลัวตายหรือเพราะยังไม่พร้อมกันแน่
“ให้ฉันรักนายเถอะแบคฮยอน เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงไปคลอเคลียที่ซอกขอขาวผ่อง ไล้จุมพิตพร้อมออกแรงขบเบาๆจนเด็กน้อยสะดุ้ง
ผละออกมามอบความหวานฉ่ำที่ริมฝีปากอีกครั้ง
ส่งลิ้นร้อนเข้าสู่โพรงปากกวาดต้อนจนอีกฝ่ายหมดทางสู้ เสียงครางอื้ออึงบ่งบอกว่าแบคฮยอนกำลังจะขาดห้วงหายใจ ชานยอลถอนจูบออกโดยไม่ลืมที่จะทิ้งสัมผัสร้อนแรงเอาไว้ด้วยกัดกัดเบาๆที่ริมฝีปากล่างบางเฉียบ
ลิ้นร้อนไล่เลียตั้งแต่ปลายคงลงสู่ลำคออย่างกระหาย
ใจจริงเขาไม่อยากทำเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าต้องทำแบคฮยอนเจ็บ เมื่ออารมณ์พุ่งสูงก็ยากที่จะควบคุมตนเอง
ชานยอลไม่ใช่คนอ่อนโยน ทั้งเรื่องการเป็นผู้นำและเรื่องบนเตียง
ทุกครั้งไม่เคยต้องออมแรงและห่วงใยใครยามทำรัก นี่เป็นครั้งแรกท่รู้สึกกังวลไม่น้อย กลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยตื่นกลัวกับสัมผัสนี้ ไม่อยากรุนแรง
แต่ก็ไม่รู้จะควบคุมได้มากแค่ไหน
“อ๊ะ…เจ็บ!”คนตัวเล็กประท้วงเมื่อชานยอลเผลอกัดที่ยอดอกของตนอย่างแรงหลังจากปลดเปลื้องอาภรณ์ส่วนบนออกไปแล้ว
“อืม ฉันขอโทษ”เอ่ยขอทาพลางพรมจูบไปทั่วแผ่นอกเพื่อปลอบประโลม
ต่ำลงเรื่อยจนถึงขอบกางเกง
แบคฮยอนจิกมือแน่นมือชานยอลค่อยๆดึงกางเกงของตนออกไป ทั้งอายทั้งหวิวไหว แค่นึกว่าตนกำลังเปลือยกายอยู่ใต้ร่างของชายที่ยังแต่งตัวมิดชิด ทำไมเขาถึงต้องแก้ผ้าอยู่คนเดียวด้วยเล่า ขี้โกงจริงๆ
ชานยอลกระตุกยิ้มกับใบหน้าแดงซ่านของคนตัวเล็กมองร่างกายขาวสะอาดที่อยู่ตรงหน้าอย่างพอใจ ส่วนอ่อนไหวของเด็กน้อยตึงขึ้นด้วยอารมณ์
ส่งมือหนาไปสัมผัสเบาๆแต่กลับเรียกปฏิกิริยาเกร็งสะท้านได้อย่างรุนแรง
“อย่า…อย่าจับ
อย่ามองด้วย อายนะเว้ย!”มือเรียวสวยยกขึ้นปิดบังใบหน้าเอาไว้
ทำไมชายคนนี้ชอบเอาเปรียบอยู่เรื่อย
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ บอกว่าอย่าจับก็ยิ่งสัมผัสหนักขึ้นไปอีก มือหนาขยับรูดรั้งร้อนแรงจนแบคฮยอนแทบจะร้องไห้ออกมา ทั้งอายทั้งเสียวมวลไปทั่วท้องน้อย
อยากจะกรีดร้องให้สาแก่ใจก็ต้องกลั้นใจเอาไว้ ไม่อยากให้ชานยอลได้ใจไปมากกว่านี้
“เด็กน้อยสั่นไปทั้งตัว ฮึฮึฮึ”หัวเราะในลำคออย่างร้ายกาจก่อนจะปล่อยความอัดอั้นของแบคฮยอนให้ค้างคาอยู่เช่นนั้น
ลงมือปลดเปลื้องเอาเสื้อตัวโตออกไปจากกายกำยำของตนเอง ปละกระดุมกางเกงออกจนหมดแต่ไม่คิดจะถอดมันออกไป
มือหนาจับเอาอาวุธที่แข็งขืนภายในกางเกงนั้นออกมา
แบคฮยอนเผลอมองอย่างไม่ตั้งใจก็เป็นอันต้องยกมือขึ้นปิดหน้าอีกครั้ง
เวลานี้ไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้นที่สั่นราวกับลูกนก หัวใจของเด็กน้อยก็สั่นระรัวจนแทบจะระเบิด ชานยอลรูดรั้งกายร้อนของตนเบาๆ ก่อนจะจับเอาขาเรียวของคนที่นอนอับอายอยู่บนเตียงนี้ให้ตั้งชันและแยกออกจากกัน
“ฮืออออออออ”เสียงร้องเหมือนร่ำไห้ของแบคฮยอนช่างน่าเอ็นดู บ่งบอกได้ดีว่าบัดนี้เจ้าตัวนั้นกำลังรู้สึกอย่างไร ใจสั่นไปหมด
ยิ่งมือหนาทั้งสองข้างสัมผัสเข้าที่บั้นท้ายอวบก็ยิ่งสั่นกลัว ชานยอลลงน้ำหนักที่ฝ่ามือแรงๆให้หายหมั่นเขี้ยว ก้นกลมกลึงนี่ช่างน่ารังแกเสียยิ่งกว่าอะไร
“มันจะเจ็บ… และฉันจะไม่ออมแรง”เอ่ยกันตามตรงโดยไม่สนว่ามันจะทำให้คนฟังกลัวมากแค่ไหน
นิ้วหนาส่งเข้าไปยังช่องทางคับแน่นช้าๆ แบคฮยอนกระตุกเกร็งอย่างแรง ทั้งตกใจทั้งตื่นกลัวทั้งเสียวซ่าน
เพราะไม่เคยจึงถูกมอมเมา เพราะไม่ประสาถึงถูกชักจูง ชานยอลส่งนิ้วเพิ่มเข้าไปอีก ล้วงลึกลงไปอย่างไร้ปราณี
กวาดไปทั่วผนังที่บีบรัดความหาจุดอารมณ์ของเด็กน้อย เวลานี้ชานยอลเองก็ทนแทบไม่ไหวแล้วเช่นกัน มัวแต่โอ้โลมกันอยู่จะไม่ทันการณ์ ชักนิ้วมือเข้าออกถี่รัวและรุนแรงตามความต้องการ
“อ๊ะ อ๊า มัน… อ๊า หยุดเถอะ
อือออ หาย ฮ้า หายใจไม่ทัน”
ตามคำขอ
ชานยอลหยุดนิ้วของตนเอาไว้
ดึงออกช้าๆแต่ยังไล้วนอยู่ที่ปากทางอย่างอ้อยอิ่ง
โน้มลงไปจุมพิศแผ่วเบาเพื่อให้เด็กน้อยเตรียมตัวรับศึกของจริง ชักรูดความร้อนแรงของตนสองสามครั้งแล้วส่งมันเข้าไปแทนที่นิ้วมือเมื่อครู่ แบคฮยอนจิกเข้าที่ไหล่กว้างเพื่อระบายความเจ็บร้าวจากสิ่งใหญ่โตที่พยายามจะดุดดันเข้ามา โหดร้ายยิ่งกว่านิ้วหนาก่อนหน้า ไร้ปราณียิ่งกว่า ทรมานยิ่งกว่า
ใจแทบจะขาดพร้อมกับร่างกายที่ร้าวลึกราวกับจะฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ เจ็บเหมือนจะตาย แบคฮยอนรู้สึกว่าตนเองกำลังจะตาย
“อย่าเกร็งเด็กดี มันจะยิ่งเจ็บ”นวดคลึงบั้นท้ายอวบอิ่มเพื่อให้คนถูกรังแกได้ผ่อนคลาย ขยับเข้าออกเชื่องช้าแต่ลึกสุดอารมณ์หวังให้แบคฮยอนปรับตัวได้รวดเร็ว
จากแผ่วเบาสู่ความหนักหน่วง จากเนิบช้าสู่ความร้อนแรง
แม้จะพยายามแค่ไหนท่จะอ่อนโยนแต่ชานยอลก็ไม่อาจควบคุมสัญชาตญาณดิบเถื่อนในตัวได้
สุดท้ายก็เร่งจังหวะเข้าใส่ช่องทางคับแน่นไม่ออมแรง โชคดีเหลือเกินที่แบคฮยอนปรับตัวกับขนาดความใหญ่โตนี้ได้บ้างแล้ว ความเจ็บปวดจึงไม่มากเท่าในตอนแรก
“อืม แบคฮยอน
สุดยอดเลยเด็กดี”
“อ๊ะ อ๊ะ
เบา อ๊า เบาหน่อย อ๊ะ อ๊า”กายเล็กโยกคลอนตามแรงที่เสือกไสไร้ปราณี หอบหายใจขาดห้วงเพราะความถี่รัวไม่สนจังหวะหรือความงดงามใดๆ
มีเพียงความรุนแรงที่บ่งบอกถึงความต้องการของคนกระทำเท่านั้น ยิ่งต้องการมาก ยิ่งรุนแรงมาก
กายร้อนถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
ร่างเล็กถูกจับให้พลิกคว่ำลงกับเตียงที่ส่งเสียงลั่นเอียดอาดตามความร้อนแรงของทั้งคู่
แบคฮยอนคิดว่าก่อนหน้านี้มันรุนแรงและไร้ปราณีที่สุดแล้ว
แต่ตอนนี้ต้องคิดใหม่อกครั้ง
เพราะท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้ชานยอลยิ่งถนัดมากกว่าเดิม กายร้อนยิ่งรุนแรงและสอดลึก จุดอารมณ์ภายในของเด็กน้อยถูกกระตุ้นไม่หยุดพัก กระแทกกระทั้น
บดขยี้ลงไปจนทนไม่ไหวต้องปลดปล่อยเอาความคั่งค้างออกมาจนหมด ของเหลวสีขุ่นเลอะเต็มเตียง
“อ๊า!!!”แบคฮยอนกระตุกรัวเมื่อถึงฝั่งฝัน ช่องทางยิ่งขยิบถี่โอบรัดกายร้อนของชานยอล จนได้ยินเสียงซูดปากจากคนตัวสูงที่ใกล้แตะเพดานอารมณ์เช่นกัน ยิ่งถูกรัดแน่นก็ยิ่งรุนแรง ชานยอลกระแทกเข้าใส่อีกสองสามครั้งก็ปลอดปล่อยออกมาจนเต็มช่องทางนั้น ทิ้งกายลงกอดแนบกับร่างที่คว่ำหน้าหมดแรงอยู่บนเตียง แช่กายเอาไว้ภายในไม่นานก็ถอนออกมาช้าๆ น้ำรักที่ปลดปล่อยภายในไหลเยิ้มตามออกมาเป็นทางจนเลอะไปทั่วก้อนเนื้อกลมกลึงอวบอิ่ม ชานยอลมองดูภาพนั้นอย่างพอใจ จูบลงท่ขมับชื้นเหงื่อเบาๆอย่างรักใคร่
“นายเป็นของฉันแล้วนะแบคฮยอน เป็นทุกอย่างของฉัน”
TBC.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น