วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กองโจร 7 - Raspberry [part.1]



กองโจร 7 - Raspberry part.1






ฉึก! มีดเล่มเล็กปักลงกลางลำต้นของไม้ใหญ่ แต่นั่นก็ไม่ได้หน้ายินดี เพราะต้นไม้ที่อยู่ข้างๆกันนั้นคือเป้าที่แท้จริงของมีดที่เซฮุนปาออกไป ต้องปาต้นนี้ แต่กลับไปโดนอีกต้น สายตาเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ไม่ห่าง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจนัก เซฮุนถอนใจเฮือกใหญ่ระหว่างเดินไปหยิบมีดกลับมา

"แย่อ่ะ"คนตัวขาวบ่นเบาๆแต่กระนั้น ครูฝึกจำเป็นอย่างไคก็ยังได้ยินอยู่ดี

ไคลุกขึ้นเดินตรงไปหาเซฮุนที่ยืนหน้าบูดบึ้ง อยากจะให้กำลังใจเพราะเท่าที่ดูแล้วเซฮุนนั้นก็ทำได้ไม่เลวจริงๆ จากคนที่ไม่มีทักษะการใช้อาวุธ เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็สามารถปามีดปักกลางต้นไม้ใหญ่ได้แม้จะคนละต้นกับที่เขาตั้งเป้าเอาไว้ให้ก็ตาม

"ไม่แย่หรอกครับ"

"แย่สิ"เซฮุนยังคงเถียง

"ไม่แย่เลย คุณเก่งมากแล้วล่ะ"ไคยังคงเอ่ยให้กำลังใจกับเด็กหนุ่มตรงหน้านี่ต่อแม้เจ้าตัวจะเอาแต่เถียงก็ตาม มือหนาส่งไปเพื่อรับมีดจากอีกฝ่าย ซึ่งเซฮุนก็วางด้ามมันลงมาแรงๆบนฝ่ามือที่แบรออยู่

"แน่ล่ะ ผมเก่งอยู่แล้ว ที่บอกว่าแย่นี่ไม่ใช่ตัวเอง แต่ผมบอกว่าคุณน่ะมันแย่! แย่มากๆ แย่! แย่!"เซฮุนที่วางส่งมีดให้คแล้วก็ใช้สองมือที่วางอยู่นั้นผลักอกอีกฝ่ายแรงๆจนเซไปด้านหลัง

"ผะ ผมหรอ"ไคได้แต่งยืนงงกับท่าทางและอารมณ์ที่แปรปรวนของเซฮุน เขาแย่อย่างนั้นหรือ เขาแย่เรื่องอะไรกันเล่า

"แย่มาก เป็นครูที่แย่ นี่อุตส่าห์ปาไปโดนต้นอื่นแล้วก็ยังไม่สนใจกันอีก นี่จะไม่ยอมคุยด้วยให้ได้เลยใช่มั้ย จะไม่สนใจผมแล้วใช่มั้ย คนนิสัยไม่ดี!"

คนฟังแทบจะหลุดขำ อุตส่าห์ปาให้โดนต้นอื่น?  แปลว่าตั้งใจล่ะสินะ  จริงๆปาให้โดนเป้าก็คงทำได้แต่ก็ยังตั้งใจจะปาพลาด  นี่คือวิธีเรียกร้องความสนใจแบบเด็กๆหรืออย่างไร  แล้วใครว่าเขาไม่สนใจกันเล่า  ตอนเซฮุนเผลอนั้นโดนแอบมองอยู่ตลอดไม่รู้ตัวบ้างเลยสินะ

“งั้น  ให้คุณมินซอกมาสอน  โอ๊ย!

ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบประโยคก็ถูกเซฮุนเตะสุดแรงที่หน้าแข้งข้างซ้าย  ตั้งแต่เจอคนตัวขาวนี่ ไคก็เจ็บตัวมาถึงสองครั้งสองครา  คราวก่อนก็โดนปาของใส่  รอบนี้โดนเตะเสียอีก  คนป่วยนี่บางครั้งก็แข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ

“คุณมันแย่ไปหมด!  เจอกันครั้งแรกก็หลอกผมว่าหลงทาง  เดี๋ยวก็เอาดอกไม้มาให้  มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ  มาคอยตาม  แล้วอยู่ดีๆก็ไม่คุยด้วย  ปล่อยให้ผมงงกับไอ้คำว่า คนของหัวหน้า ที่คุณเอาแต่พูดกรอกหูผม  คนของหัวหน้าบ้าบออะไร  คุณลองมองดูสิว่าตอนนี้หัวหน้าของคุณน่ะเห็นหัวผมมั้ย   เห็นมั้ยว่าตอนนี้เขามองแต่แบคฮยอน  คุณเลิกคิดไปเองสักทีว่าผมเป็นของใครต่อใคร  งี่เง่า!

ไคค้างนิ่งอยู่ท่าทางเดิมเพราะตั้งใจฟังประโยคระบายอารมณ์ของเซฮุนที่มาเป็นชุดแบบไม่หายใจไม่ห่วงโรคหอบจะกำเริบขึ้นมา  แน่นอนว่าเขาเห็นแล้วเรื่องที่ชานยอลตามติดแบคฮยอนตลอดเวลา  แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าสักวันหนึ่งหัวหน้าที่เขาเคารพรักจะไม่เปลี่ยนใจกลับมาเล็งเป้าที่เซฮุนอีกครั้ง   เขาต้องการความมั่นใจ

“ขอเวลาผมอีกหน่อยนะครับ  ถ้าคุณรอได้  ขอให้รู้ว่าผมจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ  ผมแค่อยากมั่นใจว่าสุดท้ายจะไม่มีใครมาพรากเอาคุณไปจากผม”

…….”เซฮุนไม่เข้าใจสักนิดว่าคนที่ท่าทางเข้มแข็งดุดันอย่างไคนั้นเหตุใดถึงได้คิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้  เรื่องของความรู้สึกนั้นจำเป็นต้องละเอียดอ่อน  แต่ในความละเอียดอ่อนนั้นก็ควรมีหนักแน่นอยู่เช่นกัน  ดูเหมือนไคจะกังวลไปเสียทุกสิ่ง  ทั้งๆที่เขายอมลดทิฐิลงแล้ว  จากที่อีกตามเขาไม่ห่าง  ตอนนี้กลายเป็นเขาต้องคอยทวงถามความรู้สึกจากอีกฝ่ายแทน 

“รอบนี้ผมไม่มีดอกไม้มาให้  แต่ผมจะให้คุณไปเลือกเอง”ไคส่งมือไปตรงหน้าคนตัวขาวที่ยังคงแสดงสีหน้าบูดบึ้ง  เขาไม่แน่ใจว่าที่พดไปนั้นเซฮุนจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน  แต่ก็ยังอยากจะพูดออกไป  แค่อยากให้อีกคนรอเขาสักหน่อยก็เท่านั้น

“ไปไหน?”แม้จะถามออกไปอย่างไม่มั่นใจ แต่มือเรียวก็ส่งไปจับมือของไคเอาไว้  สองมือกระชับกันแน่นทันทีที่สัมผัสกัน

“ไปดูดอกไม้ครับ  ทุกๆดอกล้วนมีความหมาย  ผมอยากให้คุณเลือกสักดอก  ดอกที่ตรงกับใจของคุณ”




"เป็นบ้าอะไรเนี่ย"ชานยอลเอ่ยถามเด็กหนุ่มตัวเล็กที่กำลังยกจอบไถหน้าดินอย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่ช่วงเช้า เขามั่นใจว่าตัวเองเป็นคนตื่นเร็วแต่ก็ยังไม่ทันแบคฮยอนอยู่ดี เด็กคนนี้เคยชินกับการต้องตื่นแต่เช้าเพราะต้องรีบทำงาน วันนี้ก็เช่นกัน แบคฮยอนตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง กว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าพื้นที่ข้างกายนั้นว่างเปล่า แบคฮยอนก็ทุ่มกำลังกายกับงานที่ไร่นี่จนเหงื่อท่วม ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วคนตัวเล็กก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุดพัก

"....."แบคฮยอนไม่ได้ตอบอะไร ไม่อาจบอกอีกคนได้ว่าที่ทำอยู่นี่เพราะความรู้สึกงี่เง่าของตัวเอง ความกังวลจากความฝัน ความฝันที่ทำให้ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นตั้งแต่เช้ามืด ผ่านมาสิบปีกับความฝันเดิมๆ แต่ค่ำคืนที่ผ่านมานี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ความฝันของเขาไม่ใช่ดอกแอปเปิ้ล ไม่ใช่ใครบางคนที่เรียกให้เขาเข้าไปหา

คุณอลิซ... ใช่ นั่นชื่อของเธอที่เขารู้มาจากชานยอล เขาฝันเห็นคุณอลิซนั่งอยู่บนเตียงกว้างที่เขารู้สึกคุ้นเคย และชานยอลที่อยู่ใกล้ๆนั่นกำลังเล็งปืนตรงกลางหน้าผากของเธอ ร่างสูงเหนี่ยวไกพรากเอาชีวิตของคุณอลิซไปต่อหน้าต่อตาเขา และแบคฮยอนคนนี้ทำได้แค่เพียงมองเท่านั้น เสียงปืนดังลั่นปะปนไปกับเสียงหวีดร้องน่าสมเพชของตัวเขาเอง ภาพตรงหน้าโหดร้ายและสะเทือนจิตใจ

มันทำให้แบคฮยอนฟุ้งซ่าน


"แบคฮยอน พอแล้ว พอ"ชานยอลคว้ามือเรียวสวยนั้นเอาไว้

"ปล่อย"

"เป็นอะไรไป เมื่อคืนยังไม่ดื้อแบบนี้เลย"

"ไม่ ไม่ได้เป็น ปล่อยเถอะ ขอผมทำงานต่อ"

ชานยอลไม่ได้ทำตามคำขอนั้น แย่งเอาด้ามจอบจากคนตัวเล็กแล้ววางลงไปกับพื้น สองแขนกอดแบคฮยอนเอาไว้แน่น ยิ่งคนในอ้อมแขนพยายามจะดิ้นหนีก็ยิ่งโอบรัดมากขึ้นไปอีก เมื่อคืนก็ยังยอมให้นอนกอดอยู่ดีๆ ทำไมพอเช้าแล้วพยศเหมือนเดิมเสียได้ ไม่รู้จะใช้วิธีไหนมาปราบแล้วจริงๆ ไม้อ่อนไม้แข็งงัดมาใช้จนหมด แต่ก็ได้ผลแค่ไม่นาน แบคฮยอนนั้นดื้อเกินไป

"เป็นอะไรก็บอกสิ อย่าให้ฉันต้องกังวลจะได้มั้ย"

"กังวลทำไม ไม่ใช่เรื่องของลุงสักหน่อย"

"ไม่มีสมองประมวลผลเองหรือไง ต้องให้บอกด้วยหรอว่าต่อไปนี้ทุกเรื่องของนายจะเป็นเรื่องของฉันด้วย ฮึ ไม่ได้เรียนหนังสือก็โง่แบบนี้แหละ"

"เออ! ก็โง่ไง"คนตัวเล็กเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาเพราะคำพูดของชานยอล เขาเติบโตที่นี่ ทำแต่งานใช้แรงไม่เคยได้เรียนหนังสือ พอตอนนี้ชานยอลสั่งให้คนมาสอนหนังสือแต่เขาก็ยังไม่ได้เรียนอีก คนอื่นไปหัดอ่านหัดเขียนแต่ชานยอลดันลากเขามานั่งคุยเรื่องไร้สาระบ้าง วาดรูปบ้าง เล่นไพ่บ้าง แบบนี้ยังจะมีหน้ามาว่าเขาโง่เพราะไม่ได้เรียนหนังสืออีกงั้นหรือ

"เหม็นเหงื่อ"ดูเหมือนชานยอลจะไม่ได้ใส่ใจกับน้ำเสียงขุ่นเคืองของอีกฝ่าย คนตัวสูงเอาแต่พรมจูบลงที่แก้มเปื้อนเศษดิน
นั้น ไล่ไปเรื่อยทั้งลำคอและไหล่ลาด ปากก็พูดว่าเหม็นเหงื่อแต่กลับไม่หยุดที่จะหาเศษหาเลยกับเรือนกายนั้น

"ก็ปล่อย จะได้ไปอาบน้ำ"

"อืม อาบด้วยกันดีมั้ย"

"นี่!"แบคฮยอนออกแรงดิ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคลามกของชานยอล

"โวยวายทำไม ผู้ชายเหมือนกัน"

"ผมอาบน้ำกับผู้ชายด้วยกันได้ แต่ผู้ชายคนนั้นต้องไม่ใช่ลุง ลวนลามอยู่ได้ โรคจิตหรือไง ปล่อยสักที!"

"เล่นตัวจริงๆ เป็นแค่เด็กหน้าตาบ้านๆแท้ๆ"ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่มือหนาก็ยังลูบหัวกลมนั้นด้วยความเอ็นดูหลังจากยอมปล่อยให้แบคฮยอนได้เป็นอิสระจากอ้อมแขน
.
.
.


คริสยืนมองไปรอบๆไร่ราสเบอร์รี่ที่ตนสั่งให้ปลูกเอาไว้ห่างจากเฮลิคโดมไปด้านหลังพอควร โดยปกติจะมีคนงานคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาเข้ามาที่นี่ทุกคนจะต้องออกไปเพื่อให้เขาได้มีความเป็นส่วนตัว ผลราสเบอร์รี่สีแดงสดดูงดงามยาวอยู่บนต้นที่ปลูกไว้ทอดยาวหลายแถว แต่จุดประสงค์ที่สั่งมห้ปลูกขึ้นมานั้นไม่ใช่เพราะผลสีแดงน่าลิ้มรสนี้ แต่เป็นดอกเล็กๆของมันต่างหาก

เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ไม่ได้ทำให้เทศมนตรีคนนี้เป็นกังวล เขารู้ดีว่าใครกันที่หาญกล้าเข้ามาในบริเวณทั้งๆที่เขายืนอยู่ คงไม่พ้นจะเป็นเลขาคนสนิทที่เขาสั่งความให้ไปทำงานส่วนตัวให้ และสั่งให้ตามมาพบที่ไร่นี้ทันทีที่กลับมาถึง จงแดเดินตรงไปหาคริสด้วยท่าทีนอบน้อม โค้งให้ตามมารยาทเช่นทุกครั้งก่อนจะเริ่มเอ่ยธุระ

"หน่วยข่าวรายงานจากชานเมืองว่าพบชายท่าทางใกล้เคียงกับภาพสเก็ตช์ที่ถูกส่งไปให้ครับ ผมให้คนเตรียมรถแล้ว ตั้งใจว่ารายงานท่านเสร็จก็จะเดินทางไปทันทีครับ"

"ดี แล้วเรื่องที่ให้ลงไปทางใต้ล่ะ"

"ผมสอบถามดูจากชาวบ้านที่น่าจะอยู่มานานแล้ว พวกเขาบอกว่าครอบครัวของปาร์คโซจินไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เหมือนว่าปาร์คโซจินจะเสียไปแล้ว ส่วนน้องชายของเธอคือ...ปาร์คชานยอลครับ"

"ปาร์คชานยอล?"

"ปาร์คชานยอล หัวหน้ากลุ่มไนกีครับ"
!!!


คริสกำมือแน่นทันทีที่ได้ยิน ไอ้พวกไนกีที่ตามจองล้างจองผลาญเขาไม่เลือกนั้นที่แท้ก็เป็นไอ้เด็กชั่วน้องของโซจินนี่เอง มันก่อกบฎแล้วยังทำเรื่องอุกอาจที่สุดด้วยการลักพาตัวลูกชายคนเดียวของเขาไป

"แล้วพวกมันอยู่ที่โอเพี้ยมใช่มั้ย ดีโออยู่ด้วยรึเปล่า"

"ครับ คุณหนูก็คงอยู่ที่โอเพี้ยมด้วย ชาวบ้านที่เคยเห็นพูดกันว่าปาร์คชานยอลมักจะไปไหนมาไหนกับเด็กผู้ชายตัวเล็กคนนึงครับ"

"ดีมากจงแด งานของนายดีเยี่ยมเสมอ"คริสเอ่ยชมจบแดที่ทำงานได้ยอดเยี่ยมเสมอตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่เลขาให้กับเขา ข้อมูลต่างๆก็ไม่เคยผิดพลาด จนบางครั้งเขาก็แอบสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าตัวใช้วิธีไหนที่ได้ข้อมูลเหล่านั้นมาโดยง่ายและรวดเร็ว หากแต่คิดอีกครั้ง มันไม่ได้สำคัญว่าจะใช้วิธีใด เพราะอย่างไรเสียทุกสิ่งที่จงแดทำก็ล้วนเป็นประโยชน์ต่อเขา จึงไม่จำเป็นต้องสงสัยอะไรอีก

ตอนนี้สิ่งเดียวที่คริสต้องทำคือไปพาตัวดีโอกลับมา ดูเหมือนแผนการที่จะยึดโอเพี้ยมคืนมานั้นจะต้องเลื่อนมาให้เร็วขึ้นเสียแล้ว ยิ่งเร็วก็คงจะยิ่งดี พวกมันจะได้ไม่มีเวลาเตรียมตัว

"เป็นเกียรติเหลือเกินครับ ที่ผลงานของผมทำให้ท่านพอใจ"

"อย่าถ่อมตัวนักเลย ฉันเองก็ต้องพึ่งนายไปอีกนานเชียว นอกจากนายแล้วฉันก็ไม่รู้จะไว้ใจใครได้อีก อยู่บนสุดสูงสุดแบบนี้ ปกครองคนมากมาย แต่ไว้ใจใครไม่ได้สักคน"

"มีคนอีกมากที่จงรักภักดีต่อท่าน อย่ากังวลเลยครับ"

"ฮึ แต่ยังไงฉันก็ไว้ใจแค่นาย รู้มั้ยจงแด ฉันปลูกไร่นี้ทำไม"

"ไม่ทราบครับท่าน"

"นี่แหละที่ฉันจะฝากกับนายเอาไว้ ถ้าฉันตาย... ให้เอาร่างของฉันมาฝังไว้ที่นี่นะ"

"ท่านครับ..."น้อยครั้งที่คนอย่างเทศมนตรีอี้ฟานจะพูดเรื่องความตายของตัวเอง ทำเอาคนที่ทำงานรับใช้มานานพอควรอย่างจงแดต้องรู้สึกแปลกใจไม่น้อย คนที่ภาคภูมิใจในอำนาจของตนอย่างคริสไม่น่าใช่คนที่จะเตรียมตัวรับมือกับความตายแบบนี้เลยจริงๆ

"รถที่จะไปชานเมืองเตรียมไว้แล้วสินะ ฉันจะไปเอง ส่วนนายก็ช่วยไปดูคุณอลิซทีแล้วกัน"





คริสก้าวลงจากรถด้วยความเมื่อยล้า  แม้จะใช้เวลาเดินทางไม่นาน  แต่ความปวดเมื่อยที่สะสมจากการนั่งทำงานนั้นก็ส่งผลไม่น้อย  สองขาก้าวเข้าไปในโมเตลเก่าๆ  ตึกแถวสองชั้นสภาพทรุดโทรมจนอดส่งสัยไม่ได้ว่ามันจะถล่มลงมาเมื่อไร  218คือหมายเลขห้องที่ถูกนัดแนะเอาไว้  เสียงบันไดดังออดแอดน่ากลัว  สภาพข้างนอกที่ว่าโทรมแล้วนั้นยังเทียบไม่ได้กับด้านในที่ทั้งโทรมทั้งอับชื้น  กลิ่นเหม็นฉุนเข้าจมูก  ระเบียงไม้ที่เอียงจวนจะล้ม  คริสอยากจะสั่งคนมารื้อที่นี่ทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รวด

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

รัวเคาะไปที่ประตูไม้ของห้องเป้าหมาย  เสียงเปิดกลอนจากด้านในดังขึ้นพร้อมกับประตูที่แง้มออก  ชายใส่แว่นสายตากรอบหนาสีดำนั้นส่งเพียงใบหน้าออกมาแอบมองผู้มาเยือนเท่านั้น  เมื่อเห็นว่าคนที่มาอยู่ด้านหน้าเป็นใครก็รีบเปิดออกกว้าง

“เข้ามา เร็วเข้า”

คริสเดินตามเข้าไป  ชายหนุ่มสวมแว่นรีบปิดประตูลงกลอนทันทีที่ร่างสูงเข้ามาด้านในแล้ว  ชายร่างสูงใหญ่หนึ่งคนนั่งอยู่บนเตียงและหญิงสาวผมแดงฟู่ฟ่องข้างๆกัน

“ว้าว  ท่านเทศมนตรีมาเองเลยหรอเนี่ย”หญิงสาวผมแดงลุกจากเตียงเข้ามานัวเนียคริสที่ยืนส่ายหน้าระอากับพฤติกรรมของหญิงสาว

“ฮุค  มาพาแคสซิดี้กลับไปนั่งที”ชายหนุ่มสวมแว่นสั่งความ  ไม่นานชายร่างสูงใหญ่ก็เดินมาออกแรงดึงหญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องนี้ให้กลับไปนั่งที่เดิม

“เงินค่าจ้างฉันมันน้อยนักหรือไง  ถึงต้องมาอยู่ที่แบบนี้”คริสเอ่ยถามเสียงเรียบ

“แหม  ท่าน  นี่ชานเมืองนะครับ  จะหาที่หรูหรามาจากไหน  ฮึ  ผมจองยู  นั่นฮุคกับแคสซิดี้  เราทำงานกันเป็นทีม” 

“แล้วยังไง  ฉันไม่ได้สนว่าพวกนายทำงานกันยังไง  ฉันมาเพื่อธุระของฉัน  และฉันก็อยากจะรู้ว่าธุระของฉันอยู่ที่ไหน”

จองยูยักไหล่ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินนำคริสไปทางห้องน้ำ  ต้องยอมรับว่าท่านเทศมนตรีนี่ท่าทางถือตัวจนน่าหมั่นไส้  แต่เขาไม่สนใจนักหรอก  ตราบใดที่มีเงินให้  จะถือยศถืออย่างยิ่งกว่านี้เขาก็พร้อมจะร่วมงานด้วยเสมอ  เปิดประตูห้องน้ำเข้าไปก็พบชายท่าทางเหมือนพวกจรจัดถูกมัดติดอยู่กับเก้าอี้  คริสเดินเข้าไปใกล้ จับใบหน้าของคนที่ไม่ได้สติขึ้นมามองให้ชัด

ใช่!  นี่คือชางกีแน่นอน!

“ออกไปก่อน  ยกเว้นเธอ”คริสออกคำสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้อง แต่กลับรั้งให้หญิงสาวผมแดงอยู่กับตน  แม้จองยูและฮุคจะไม่เข้าใจกับคำสั่งน้นเท่าไรนักแต่ก็ยอมออกไปโดยไม่ขัดขืน  ส่วนหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวรีบถฃลาตัวมากอดแขนของคริสเอาไว้  แคสซิดี้เอียงศีรษะซบลงกับไหล่กว้างอย่างออดอ้อน  ไม่รู้ว่าเหตุใดท่านเทศมนตรีจอมยะโสและถือตัวนี้ต้องการให้ตนอยู่ด้วย เมื่อหาเหตุแห่งผลนี้ไม่ได้ จะนึกเข้าข้างตนเองไปก่อนว่าอีกฝ่ายคงจะคิดพิศวาสกันก็คงไม่ผิด 

“ต้องการฉันหรอ ฮืม”เอ่ยถามเสยกระเส่าที่ข้างหู 

“เอาหน้าสกปรกของเธอออกไปให้พ้นๆตัวฉัน”

ปึก!
มือหนาส่งไปผลักเอาศีรษะของหญิงสาวออกอย่างแรงจนเจ้าหล่อนเซถลาไปกระแทกกับกำแพงอีกด้าน  หน้าผากชนเข้ากับขอบชั้นวางของจนแตกเป็นแผล  เลือดซึมออกมาไหลลงข้างขมับเป็นทางยาว  แคสซิดี้ยกปลายนิ้วขึ้นแตะปากแผลก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“แกไอ้บ้า!  แกเป็นบ้าอะไรเนี่ย!”หญิงสาวโวยวายเตรียมจะออกไปให้พ้นแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นจากโลหะบางอย่างที่หลังคอ

“ถ้าก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ฉันจะปาดมันไปรอบๆคอเธอเลยล่ะ”คริสะกดน้ำหนักเพื่อให้มีดสั้นที่ตนพกมาด้วยนั้นได้สัมผัสผิวเนื้อที่หลังคอของหญิงสาว 

“อย่ามาขู่ฉันนะ!

“ก็กำลังทำอยู่”กดน้ำหนักลงไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าเขาขู่ตามที่บอก  เพราะยังไม่ได้ต้องการให้หล่อนรีบตาย  เสร็จธุระตรงนี้แล้วเขายังมีงานให้หล่อนทำอีก  คงต้องยื้อกันไปก่อน

“พอ!  ก็ได้  พอแล้ว  เอามีดออกไปสิ”ร่างทั้งร่างสั่นอย่างห้ามไม่อยู่  ยิ่งสัมผัสถึงความคมที่บาดตรงหลังคอยิ่งกลัวจนทำสิ่งใดไม่ถูก 

คริสเอามีดออกจากคอของหญิงสาว  ลดมือลงไว้ที่ข้างตัวแม้จะกำด้ามมีดนั้นแน่นไม่เปลี่ยนก็ตาม  แคสซิดี้หันกลับมาอย่างระแวง  มองมีดในมือหนานั้นสลับกับใบหน้าเรียบนิ่งของเจ้าของ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแล้วสบตาอีกครั้งเพื่อถามผ่านสายตาที่หวาดหวั่นนี้ไปว่าต้องการสิ่งใดจากเธอ

“ปลุกมัน”คริสออกคำสั่งให้หญิงสาวปลุกชางกีที่สลบอยู่บนเก้าอี้นั้น  เพราะเขาไม่รู้ว่าชางกีนั้นโดนอะไรที่ทำให้หมดสติไปเช่นนี้  สู้ให้คนรู้ปลุกจะดีกว่าเพราะหล่อนก็คงรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ชางกีตื่นขึ้นมา  เขาจะเลือกใครก็ได้ในบรรดาสามคน  แต่เหตุที่เลือกหญิงสาวเพียงคนเดียวให้ช่วยตนนั้นเพราะหล่อนดูท่าทางจัดการและควบคุมง่ายกว่าผู้ชายอีกสองคน

“ปลุกให้ดังหน่อยก็พอ  มันแค่โดนรมยาอ่อนๆ”หญิงสาวบอกพลางเดินไปเขย่าตัวคนที่ไม่ได้สติอยู่บนเก้าอี้  ออกเสียงเรียกที่คริสรู้สึกได้ว่ามันดังจนแทบจะปลุกห้องข้างๆได้  ชางกีขยับตัวน้อยๆราวกับกำลังรำคาญเสียงดังลั่นใกล้ๆหู 

มือหนายกขึ้นห้ามปราบหญิงสาวก่อนจะโบกออกไปให้หล่อนออกไปให้พ้นทาง  สองขาก้าวเข้าไปหาคนที่เริ่มรู้สึกตัว  ย่อตัวนั่งลงตรงหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายได้มองเห็นชัดๆว่าใครที่ใจดีมาเยี่ยมเยือนกันในเวลาเช่นนี้

ชางกีค่อยๆปรับโฟกัสสายตาให้ชัดเจน  รู้สึกเหมือนใครบางคนอยู่ตรงหน้าแต่ก็ยังมองไม่ชัด  กระพริบตาถี่แล้วเพ่งไปยังเบื้องหน้า  ใจกระตุกวูบเมื่อเห็นว่าเป็นใคร  ผ่านมานานนับสิบปี  ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอชายคนนี้อีก  ยิ่งในสภาพที่ตนถูกจับมัดอยู่นี่คงไม่อาจมองเป็นอย่างอืนได้นอกจากถูกจับตัวมาอย่างตั้งใจโดยชายตรงหน้าคนนี้

“สวัสดีชางกี  สบายดีรึเปล่า  หืม?”น้ำเสียงที่ดูเป็นห่วงเป็นใยนั้นไม่อาจทำให้เย็นใจได้แม้แต่น้อย  คนที่แม้แต่น้องชายตัวเล็กๆยังคิดฆ่าได้ ไม่ว่าอะไรก็คงทำได้ทั้งนั้น

“ทำไม….” ใช่  ทำไม  ทำไมคริสถึงต้องจับเขามา

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับแกนักหรอก  แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเมื่อสิบสองปีก่อน  แกได้จัดการงานที่ฉันสั่งเรียบร้อยหรือเปล่า  มีคนบอกว่าเห็นเด็กหนุ่มสักคนที่ดูคล้ายบีเพ่นพ่านอยู่ในเมืองหลวง  เด็กที่น่าจะตายไปแล้วไม่ควรจะโผล่มาตอนนี้ใช่รึเปล่า”

……..”ชางกีเลือกที่จะเงียบ  เขามั่นใจว่าครั้งนี้เขาคงจะไม่รอดจากเงื้อมมือนี้แน่ๆ ไม่ว่าจะพูดอะไรหรือตอบสิ่งใด  โทษตายก็คงไม่ต่างกัน  สู้ที่จะเงียบแบบนี้เพื่ออย่างน้อยก็มีหนึ่งชีวิตที่จะปลอดภัยต่อไป

“อย่าคิดว่าเงียบแล้วฉันจะไม่รู้  แค่แกไม่ยอมพูดอะไรฉันก็ได้คำตอบแล้ว  แกมันใจอ่อนกับเด็กสินะ  งั้นเรามาเปลี่ยนคำถามกันดีกว่า  แกเอาเด็กนั้นไปไว้ที่ไหน”

….....

“นี่ฉันยอมเสียเงินเสียทองจ้างคนไปลากคอแกมา  แต่แกก็เอาแต่เงียบ  ทำงานพลาดแล้วปากแข็ง  แกมันไร้ประโยชน์”

ฉึก!
มีดสั้นถูกปักลงกลางศีรษะของคนบนเก้าอี้  ชางกีเบิกตากว้าง ร่างกายกระตุกเพียงเล็กน้อยก่อนลมหายใจจะหมดลงพร้อมกับเลือดสีแดงข้นที่ไหลออกมาจากปากแผลที่มีดยังปักคาอยู่  แคสซิดี้เองก็ตกใจไม่น้อย ร่างของหญิงสาวทรุดลงกับพื้น  สั่นไปทั้งทั้งกายด้วยความหวาดกลัวต่อภาพตรงหน้า  ภาพที่คริสใช้มีดนั้นปักลงกลางศีรษะของชางกี  โหดเหี้ยมเกินไป ผู้ชายคนนี้  น่ากลัว

คริสดึงมีดออกมาไม่สนใจเลือดที่ทะลักออกจากปากแผลปะปนกับของเหลวสีอ่อน  ริมฝีปากยกยิ้มกับภาพนั้น  คิดในใจอย่างติดตลกว่าไม่น่าเชื่อที่ชางกีก็มีสมองเหมือนคนอื่นๆ  ปาดมีดลงบนเสื้อของคนที่สิ้นลมไปแล้วเพื่อทำความสะอาด  หันไปมองหญิงสาวที่นั่งร้องไห้ตัวสั่นอยู่บนพื้นก่อนจะเดินเข้าไปหา 

“ล้างห้องน้ำด้วยล่ะ”

“ฮึก ฮึก”ยังไม่อาจขยับตัวได้เมื่อมันยังสั่นไม่หยุด  ความกลัวและตกใจดูดเอาเรี่ยวแรงไปจนหมด  ได้แต่มองตามคนที่เดินออกไปแล้ว  ฟังเสียงพูดคุยที่ลอดผ่านมาจากด้านนอกใช้สติที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดจับใจความได้ว่าชายผู้โหดเหี้ยมคนนั้นเดินทางกลับไปแล้ว  เธอรวมรวมแรงที่มีทั้งหมดแล้วกรีดร้องออกมา

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

.
.
.

แบคฮยอนอึดอัดจนแทบบ้ากับบรรยากาศมาคุในคฤหาสน์ของซูโฮ  เพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไรดีโอก็ไม่ยอมรับหนังสือสมรสนั้นเสียที  จนซูโฮต้องยอมแพ้และเรียกตัวชานยอลให้มาช่วยพูดอีกแรง  คนตัวเล็กได้กรอกตาไปมามองเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กยิ่งกว่าตนและร่างสูงที่คุ้นเคยกันดี  ชานยอลพยายามเกลี้ยกล่อมดีโออยู่เป็นนานสองนาน  ความสัมพันธ์ที่ห่างเหินของน้าหลานไม่อาจทำให้เรื่องราวคลี่คลายได้ง่ายดายดั่งที่คาดคิด 

“ไม่  ทำไมดีโอต้องยอมจดทะเบียนกับคนแบบนั้น  คุณน้าจะเอาเรื่องความปลอดภัยมาอ้างก็บังคับดีโอไม่ได้  ยอมไม่ปลอดภัยยังจะดีกว่า”ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเด็กเล็กๆนั้นเชิดขึ้นเล็กน้อย  ดีโอไม่ได้รังเกียจซูโฮ  ก็แค่ไม่ชอบที่คนๆนี้จับตนเองมาซ้ำยังบังคับให้จดทะเบียนสมรสด้วย  วิธีโจรแบบนี้มันไม่ถูกต้อง  เขาไม่ชอบใจเอาเสียเลย  ถ้าต้องตกเป็นของคนแบบนี้จะไว้ใจได้อย่างไรกันว่าตนเองจะไม่ต้องเจอสถานการณ์แปลกๆเช่นนี้อีก

“แค่จดลงไปเท่านั้น  เสร็จแล้วน้าจะยอมให้กลับบ้าน”เมื่อไม่รู้จะพูดอย่างไรให้อีกฝ่ายยินยอมก็คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น  ชานยอลพูดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ถึงจะอยากให้ดีโออยู่ห่างจากอี้ฟานมากแค่ไหน  แต่ก็ไม่เหลือทางเลือกให้เขาอีกแล้ว 

ซูโฮทำหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยกับข้อเสนอที่ชานยอลยื่นให้ว่าที่คู่สมรสของตน  ถึงจะเรียกมาช่วยเจรจาแต่ก็ใช่จะแปลว่าชานยอลและดีโอมีสิทธิจะตัดสินใจกันเองเช่นนี้   จดทะเบียนสมรสก็เท่ากับแต่งงานกันแล้ว  ถ้าแต่งงานก็ควรจะได้เข้าหอกันมิใช่หรอ  จดทะเบียนแล้วกลับบ้านมันคืออะไร  น้าหลานคู่นี้จะเอาแต่ใจกันมากเกินไปแล้ว  เขาเฝ้าเตรียมวิธีปราบพยศเด็กน้อยดีโอเอาไว้หลายร้อยวิธี  ดังนั้นจะไม่ปล่อยให้กลับไปเด็ดขาด

“เฮ้  ผมว่าไม่ดีเท่าไรนะ  แบบนั้นจะมีประโยชน์อะไรเล่า  ให้จดทะเบียนก็เพื่อความปลอดภัย  ถ้ากลับไปแล้วจะหาความปลอดภัยได้จากตรงไหนกัน”

“เลิกคิดแทนกันได้แล้ว  ความปลอดภัยบ้าบออะไรนักหนา  ดีโอถามก็ไม่บอก  บังคับจะให้จดทะเบียนอย่างเดียว  ยังไงก็ไม่ยอมหรอก  คุณน้าอาจจะหลอกก็ได้  ถ้าดีโอยอมตกลงรับแล้วคุณน้าไม่ส่งดีโอกลับบ้านล่ะ  จะไว้ใจได้ยังไง”

ชานยอลแทบจะกุมขมับ  ทำไมเด็กวัยนี้ถึงดื้อรั้นนัก  ที่ต้องรับมือกับแบคฮยอนทุกวันนี้ก็เหนื่อยไม่น้อยแล้ว  นี่ยังมาเจอหลานแท้ๆทำฤทธิ์ใส่ซ้ำอีก อยากจะปล่อยให้ซูโฮตีเสียให้เข็ด

“ทำไมถึงคิดว่าน้าจะโกหก”

“คุณน้าเป็นโจร….”ไม่ได้อยากจะพูดเช่นนั้น  ดีโอแทบจะตีปากตัวเองที่พูดจาร้ายกาจ  อย่างไรชายคนนี้ก็เป็นน้าของเขา 

“ฮึงั้นลองบอกสิว่าคำพูดของโจรกับคำพูดของคนที่ทิ้งเมียที่กำลังท้องโดยไม่คิดจะแยแสนั้นใครที่เชื่อถือไม่ได้มากกว่ากัน”

“หมายความว่ายังไง”ดีโอเริ่มไม่แน่ใจกับท่าทางที่จริงจังของชานยอล  คำถามที่สื่อความหมายบางอย่างนั้นเด็กน้อยไม่อาจเข้าใจได้

“ไอ้โจรที่หลานบอกคนนี้มันคือคนที่คอยเลี้ยงหลานตั้งแต่เกิดจนวันที่ผู้ชายสารเลวนั้นมาพรากเอาหลานไป  แม่ของหลานต้องอุ้มท้องโดยที่ไอ้พ่อคนนั้นมันไม่เคยจะสนใจ  ไม่แม้แต่เหลียวแลว่าเมียลูกจะอยู่ยังไง   พอมันรู้ว่าจะหาประโยชน์จากลูกตัวเองได้  มันก็มาพรากเอาไปจากอกแม่  ผู้หญิงที่เคยถูกทิ้งอย่างไร้ค่าซ้ำต้องมาถูกพรากเอาลูกชายคนเดียวไปอีกคิดว่าเธอจะเป็นยังไง”

“ไม่จริง  คุณน้าพูดเรื่องอะไร หยุดพูดเดี๋ยวนี้”

“ฟังสิ  ฟังความจริง  แม่ของหลานน่ะดีโอ เธอตรอมใจตายไงล่ะ!

“หยุด  หยุดพูดนะ”เด็กน้อยยกมือขึ้นปิดหู  ไม่ต้องการรับรู้อะไรทั้งสิ้น  อดีตที่โหดร้ายนั้นดีโอไม่อยากรับรู้มัน

“ทีนี้บอกน้าสิว่าคำพูดของไอ้สารเลวอี้ฟานนั้นมันเชื่อได้มากกว่าคำพูดของน้ารึเปล่า!

“ฮืออออออออ บอกให้หยุดพูดไง!”เมื่อโดนชานยอลระเบิดอารมณ์ใส่ ดีโอเองก็ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาเช่นกัน สองมือยกขึ้นปิดหูแน่น ส่ายหน้ารัวปฏิเสธทุกสิ่ง  ทุกสิ่งที่ได้ฟัง  ทุกสิ่งที่เป็นเรื่องจริง

“พอแล้วชานยอล”ซูโฮปรามแล้วเดินมากอดปลอบเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้

“จัดการให้ดีโอรับเอกสารซะ  เวลาใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว”ชานยอลเอ่ยด้วยอารมณ์ที่ยังไม่สงบดีนักก่อนจะลากแบคฮยอนที่นั่งหน้าเสียอยู่ไม่ห่างให้ออกไปจากคฤหาสน์นี้ด้วยกัน


ดีโอยังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของซูโฮ  เวลานี้เด็กหนุ่มทั้งตกใจ  ทั้งหวาดกลัวและทั้งยังสับสน  ทั้งที่เรื่องที่ชานยอลเล่านั้นตนจะไม่เชื่อก็ได้  แต่ความรู้สึกบางอย่างมันบอกว่าทั้งหมดนั้นคือความจริง  ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นที่พ่อเคยบอกว่าแม่ของเขาเสียไปตอนที่คลอดเขาออกมาก็โกหกงั้นหรือ  ที่บอกว่าเลี้ยงเขามาตั้งแต่เกิดนั้นก็คงดกหกใช่หรือเปล่า  มิน่า...คุณย่าถึงได้เผลอพูดเรื่องที่เจอเขาครั้งแรกตอนสามขวบ  ที่ได้แต่สงสัยว่าคุณย่าไปอยู่ที่ไหนมาถึงได้เพ่งเจอเขาตอนสามขวบนั้นความจริงแล้วคือเขาเองสินะที่เพิ่งมาตอนสามขวบ นี่แม่ของเขาตรอมใจตายโดยที่เขาไม่เคยรับรู้เลยอย่างนั้นสินะ

“ดีโอทิ้งแม่  ปล่อยให้ ฮึก ปล่อยให้แม่ตาย ฮือออออออ”

“อย่าพูดแบบนั้นเด็กน้อย  ตอนนั้นเธอเป็นแค่เด็ก  มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลย   พวกผู้ใหญ่ทั้งนั้น ความโลภ  ความหลง  ความดทะเยอทะยาน  ความดำมืดในจิตใจ  สิ่งเหล่านั้นที่ทำลายทุกสิ่ง  แต่ไม่ใช่เธอ  เธอเป็นแค่เด็กที่มีจิตใจที่บริสุทธิ์  เธอเป็นสีขาว  และฉันก็อยากจะเห็นเธอเป็นสีขาวตลอดไป  อย่าเอาความผิดที่เธอไม่ได้ก่อมาสร้างรอยเปรอะเปื้อนแกหัวใจสีขาวของเธอเลยนะ”ลูบแผ่นหลังบางปลอบประโลม 

“คุณน้า  โกรธดีโอมากแน่ๆ  คุณน้าคงเกลียดดีโอแล้ว  ทั้งๆที่เขาเลี้ยงดีโอมาตั้งแต่เกิด  แต่ดีโอกลับ….”ผละออกมาแล้วเช็ดคราบน้ำตาลวกๆ  นึกถึงน้าชายที่ระเบิดอารมณ์ใส่ตนเมื่อครู่ก็ยังกลัวไม่หาย

“ฉันจะไม่พูดหรอกนะว่าชานยอลไม่โกรธ เพราะเห็นอย่ว่าโกรธขนาดไหน  แต่เชื่อฉันเถอะว่าชานยอลไม่ได้เกลียดเธอ   เขาไม่เกลียดเธอแน่นอน  เธอคือหลานคนเดียวของเขา  เขารักเธอมากๆ  ถึงได้พยายามจะให้เธอสมรสฉัน”

“อืม  ดีโอเข้าใจแล้ว   คุณเอาเอกสารมาสิ  ดีโอจะได้ลงชื่อ”ถามหาเอกสารที่ถูกบังคับให้ลงชื่อมาหลายวัน 

“ฮึ  ไม่ต้องหรอก  เอาไว้เธอพร้อมก็ได้  ไปนอนพักผ่อนก่อนเถอะ  ร้องไห้จนตาบวมแล้ว”ซูโฮลูบศีรษะกลมนั้นเบาๆ  ส่งสายตาเรียกพ่อบ้านซายังที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยให้มารับเด็กหนุ่มตัวเล็กไปพักผ่อน 

คิดแล้วก็นึกขำ  นานๆครั้งจะได้เห็นชานยอลโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้  คิดว่าป่านนี้เจ้าตัวอาจจะกำลังรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย  ได้แต่หวังว่าเรื่องจะจบลงด้วยดีเร็วๆนี้

.
.
.

แบคฮยอนนอนฟังเสียงหัวใจจากอกแกร่งของชานยอลที่ตนนอนแนบใบหน้าอยู่บนเตียง  แม้จะค่ำแล้วแต่ทั้งคู่ก็ยังไม่อาจข่มตาหลับ  ชานยอลกำลังไม่สบายใจที่เผลอระเบิดอารมณ์ใส่หลานชายไป ส่วนแบคฮยอนก็กำลังคิดถึงกฎที่ว่าต้องประหารครอบครัวของเทศมนตรีที่ถูกยึดอำนาจทั้งหมด 

“ลุง

“อืม”

ถ้าคุณซูโฮขึ้นเป็นเทศมนตรีแล้ว  ครอบครัวของเทศมนตรีอี้ฟานจะต้องถูกประหารทั้งหมดเลยหรอ”

“ใช่  ตามกฎ  ถามทำไม”ชานยอลหลุบตาลงมองเด็กหนุ่มที่นอนหนุนอกของตนอยู่ในอ้อมกอด

“ก็  ไม่มีละเว้นบ้างหรือไง  จะเด็ก  ผู้หญิง  คนแก่  ไม่ละเว้นบ้างหรอ”

“แบคฮยอน  การที่กฎถูกตั้งขึ้นมามันย่อมมีเหตุผล  กฎนี้ตั้งขึ้นมานานแล้วยุคของเทศมนตรีซีวอนที่ยึดอำนาจได้จากเทศมนตรียุนโฮ  ตอนนั้นท่านซีวอนเกิดใจอ่อนให้แก่น้องชายของท่านยุนโฮ  รับเป็นน้องชายบุญธรรมและชุบเลี้ยงอย่างดี  พอเวลาผ่านไปน้องชายของท่านยุนโฮก็ก่อกบฏ  โชคดีที่ท่านซีวอนเองก็แข็งแกร่งมากพอที่จะปราบกบฏนั้นได้จนสิ้นซาก  หลังจากนั้นท่านก็ตระหนักได้ว่าไม่ควรไว้ชีวิตคนในครอบครัวของท่านยุนโฮเพื่อมาเป็นหอกข้างแคร่ในภายหลัง  กฎนี้จึงถูกตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้นอีก”


แบคฮยอนได้แต่คิดตาม  ตอนนี้เขากังวลไปหมด  เรื่องของผู้หญิงคนนั้น คุณอลิซ  บางอย่างบอกเขาว่าเธอผูกพันกับเขามากแค่ไหน  หรือเขาอาจจะคิดไปเอง   เพราะเป็นเด็กกำพร้าพอมีคนมาเรียกว่าเป็นลูกใจมันก็พองโต  จะใช่หรือเปล่า  บางทีเขาอาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอก็เป็นได้ 

เพราะมัวแต่เผลอคิดไปเรื่อยจึงไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ตนนอนหนุนแผ่นอกนั้นขยับตัวออกเปลี่ยนท่าทางไปแล้ว  แบคฮยอนสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ริมฝีปากของชานยอลสัมผัสที่มุมปากของตนเอง  เบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าตอนนี้ชานยอลกำลังคร่อมอยู่เหนือร่าง  ตั้งแต่เมื่อไรกัน?  ผู้ชายคนนี้เริ่มเป็นเหมือนที่พ่อบ้านซายังบอกเขาเข้าไปทุกทีแล้ว  เผลอไม่ได้เลยจริงๆ

“ลุกออกไปเลยนะเว้ย!

“พูดไม่เพราะ  ทำไมชอบทำเสียบรรยากาศหืมแบคฮยอน”ชานยอลยังคงพรมจูบลงไปซ้ำๆไม่ได้สนใจกับท่าทีปัดป้องของเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ร่างสักนิด

“บรรยากาศบ้าอะไร  ไอ้ลุงนี่  เป็นไรวะ!”มือเรียวทั้งผลักทั้งดันให้ใบหน้าหล่อนั้นออกไปให้พ้นเสีย  แต่ชานยอลก็แรงเยอะกว่ามากนัก  แน่นอนว่าในฐานะผู้ชาย  แบคฮยอนก็ถือว่าแข็งแรงไม่น้อย  แต่สู้กับแรงของชานยอลไม่ได้สักนิด  ไม่รู้ว่าคุณหัวหน้ากองโจรคนนี้แข่งแกร่งมาจากไหน

“ชู่ว  ฟังฉันแบคฮยอน  ที่ฉันเล่าให้ฟังน่ะ  เรื่องของเทศมนตรีซีวอน  มันบอกอะไรเราถึงสองอย่าง  รู้มั้ย”ชานยอลล็อกข้อมือของแบคฮยอนเอาไว้เหนือศีรษะ  เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อะ อะไร”

“มันบอกเหตุผลที่ตั้งกฎนั้นขึ้นมาและสองบอกว่าการก่อกบฏก็ใช่ว่าจะได้รับชัยชนะเสมอไป”

……..”แบคฮยอนเข้าใจ  ถ้าก่อกบฏต่อรัฐเมื่อใด  ต้องชนะเท่านั้น  เพราะถ้าแพ้นั้นจะหมายถึงชีวิตทันที  นี่คือการทิ้งชีวิตตนไปแล้วครึ่งหนึ่ง  แค่รอเท่านั้นว่าอีกครึ่งจะรักษาเอาไว้ได้หรือให้มันตามอีกครึ่งหนึ่งไป

“ฉันไม่รู้ว่าพวกมันจะส่งคนมาเมื่อไร  อาจจะอีกสองสามวัน  หรือวันพรุ่งนี้  ไม่แน่ก็อาจจะคืนนี้  ฉันไม่รู้ว่าเราจะชนะหรือเปล่า  นี่มันอาจเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้กอดนายแบบนี้”แม้สายตาจะจริงจังแค่ไหนแต่ก็ยังเชื่อมหวานหลอกล่อให้เด็กน้อยผู้ไม่ประสาต้องเผลอใจ

“บางทีเราอาจจะตาย”แบคฮยอนคิดเช่นนั้น  บางทีพวกเขาอาจจะตายถ้าพ่ายแพ้  หรือถ้าชนะ…. แบคฮยอนก็คงต้องตายอยู่ดี  จะปฏิเสธอย่างไรว่าตนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคุณอลิซคนนั้น  ความรู้สึกมันชัดเจนอยู่แล้ว เขาแค่ไม่อยากจะยอมรับ  ไม่รู้ว่าเพราะกลัวตายหรือเพราะยังไม่พร้อมกันแน่

“ให้ฉันรักนายเถอะแบคฮยอน  เพราะเราอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”


ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงไปคลอเคลียที่ซอกขอขาวผ่อง ไล้จุมพิตพร้อมออกแรงขบเบาๆจนเด็กน้อยสะดุ้ง  ผละออกมามอบความหวานฉ่ำที่ริมฝีปากอีกครั้ง  ส่งลิ้นร้อนเข้าสู่โพรงปากกวาดต้อนจนอีกฝ่ายหมดทางสู้  เสียงครางอื้ออึงบ่งบอกว่าแบคฮยอนกำลังจะขาดห้วงหายใจ  ชานยอลถอนจูบออกโดยไม่ลืมที่จะทิ้งสัมผัสร้อนแรงเอาไว้ด้วยกัดกัดเบาๆที่ริมฝีปากล่างบางเฉียบ ลิ้นร้อนไล่เลียตั้งแต่ปลายคงลงสู่ลำคออย่างกระหาย  ใจจริงเขาไม่อยากทำเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าต้องทำแบคฮยอนเจ็บ  เมื่ออารมณ์พุ่งสูงก็ยากที่จะควบคุมตนเอง

ชานยอลไม่ใช่คนอ่อนโยน  ทั้งเรื่องการเป็นผู้นำและเรื่องบนเตียง  ทุกครั้งไม่เคยต้องออมแรงและห่วงใยใครยามทำรัก  นี่เป็นครั้งแรกท่รู้สึกกังวลไม่น้อย  กลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยตื่นกลัวกับสัมผัสนี้  ไม่อยากรุนแรง  แต่ก็ไม่รู้จะควบคุมได้มากแค่ไหน

“อ๊ะเจ็บ!”คนตัวเล็กประท้วงเมื่อชานยอลเผลอกัดที่ยอดอกของตนอย่างแรงหลังจากปลดเปลื้องอาภรณ์ส่วนบนออกไปแล้ว

“อืม ฉันขอโทษ”เอ่ยขอทาพลางพรมจูบไปทั่วแผ่นอกเพื่อปลอบประโลม ต่ำลงเรื่อยจนถึงขอบกางเกง

แบคฮยอนจิกมือแน่นมือชานยอลค่อยๆดึงกางเกงของตนออกไป  ทั้งอายทั้งหวิวไหว แค่นึกว่าตนกำลังเปลือยกายอยู่ใต้ร่างของชายที่ยังแต่งตัวมิดชิด  ทำไมเขาถึงต้องแก้ผ้าอยู่คนเดียวด้วยเล่า  ขี้โกงจริงๆ  ชานยอลกระตุกยิ้มกับใบหน้าแดงซ่านของคนตัวเล็กมองร่างกายขาวสะอาดที่อยู่ตรงหน้าอย่างพอใจ  ส่วนอ่อนไหวของเด็กน้อยตึงขึ้นด้วยอารมณ์ ส่งมือหนาไปสัมผัสเบาๆแต่กลับเรียกปฏิกิริยาเกร็งสะท้านได้อย่างรุนแรง

“อย่าอย่าจับ  อย่ามองด้วย  อายนะเว้ย!”มือเรียวสวยยกขึ้นปิดบังใบหน้าเอาไว้  ทำไมชายคนนี้ชอบเอาเปรียบอยู่เรื่อย  ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ บอกว่าอย่าจับก็ยิ่งสัมผัสหนักขึ้นไปอีก  มือหนาขยับรูดรั้งร้อนแรงจนแบคฮยอนแทบจะร้องไห้ออกมา  ทั้งอายทั้งเสียวมวลไปทั่วท้องน้อย  อยากจะกรีดร้องให้สาแก่ใจก็ต้องกลั้นใจเอาไว้  ไม่อยากให้ชานยอลได้ใจไปมากกว่านี้

“เด็กน้อยสั่นไปทั้งตัว ฮึฮึฮึ”หัวเราะในลำคออย่างร้ายกาจก่อนจะปล่อยความอัดอั้นของแบคฮยอนให้ค้างคาอยู่เช่นนั้น  ลงมือปลดเปลื้องเอาเสื้อตัวโตออกไปจากกายกำยำของตนเอง  ปละกระดุมกางเกงออกจนหมดแต่ไม่คิดจะถอดมันออกไป

มือหนาจับเอาอาวุธที่แข็งขืนภายในกางเกงนั้นออกมา  แบคฮยอนเผลอมองอย่างไม่ตั้งใจก็เป็นอันต้องยกมือขึ้นปิดหน้าอีกครั้ง  เวลานี้ไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้นที่สั่นราวกับลูกนก  หัวใจของเด็กน้อยก็สั่นระรัวจนแทบจะระเบิด  ชานยอลรูดรั้งกายร้อนของตนเบาๆ  ก่อนจะจับเอาขาเรียวของคนที่นอนอับอายอยู่บนเตียงนี้ให้ตั้งชันและแยกออกจากกัน

“ฮืออออออออ”เสียงร้องเหมือนร่ำไห้ของแบคฮยอนช่างน่าเอ็นดู  บ่งบอกได้ดีว่าบัดนี้เจ้าตัวนั้นกำลังรู้สึกอย่างไร  ใจสั่นไปหมด ยิ่งมือหนาทั้งสองข้างสัมผัสเข้าที่บั้นท้ายอวบก็ยิ่งสั่นกลัว  ชานยอลลงน้ำหนักที่ฝ่ามือแรงๆให้หายหมั่นเขี้ยว  ก้นกลมกลึงนี่ช่างน่ารังแกเสียยิ่งกว่าอะไร

“มันจะเจ็บ และฉันจะไม่ออมแรง”เอ่ยกันตามตรงโดยไม่สนว่ามันจะทำให้คนฟังกลัวมากแค่ไหน นิ้วหนาส่งเข้าไปยังช่องทางคับแน่นช้าๆ แบคฮยอนกระตุกเกร็งอย่างแรง ทั้งตกใจทั้งตื่นกลัวทั้งเสียวซ่าน 

เพราะไม่เคยจึงถูกมอมเมา  เพราะไม่ประสาถึงถูกชักจูง  ชานยอลส่งนิ้วเพิ่มเข้าไปอีก ล้วงลึกลงไปอย่างไร้ปราณี กวาดไปทั่วผนังที่บีบรัดความหาจุดอารมณ์ของเด็กน้อย  เวลานี้ชานยอลเองก็ทนแทบไม่ไหวแล้วเช่นกัน  มัวแต่โอ้โลมกันอยู่จะไม่ทันการณ์  ชักนิ้วมือเข้าออกถี่รัวและรุนแรงตามความต้องการ

“อ๊ะ อ๊า มันอ๊า  หยุดเถอะ อือออ  หาย ฮ้า หายใจไม่ทัน”

ตามคำขอ  ชานยอลหยุดนิ้วของตนเอาไว้  ดึงออกช้าๆแต่ยังไล้วนอยู่ที่ปากทางอย่างอ้อยอิ่ง  โน้มลงไปจุมพิศแผ่วเบาเพื่อให้เด็กน้อยเตรียมตัวรับศึกของจริง  ชักรูดความร้อนแรงของตนสองสามครั้งแล้วส่งมันเข้าไปแทนที่นิ้วมือเมื่อครู่  แบคฮยอนจิกเข้าที่ไหล่กว้างเพื่อระบายความเจ็บร้าวจากสิ่งใหญ่โตที่พยายามจะดุดดันเข้ามา  โหดร้ายยิ่งกว่านิ้วหนาก่อนหน้า  ไร้ปราณียิ่งกว่า  ทรมานยิ่งกว่า  ใจแทบจะขาดพร้อมกับร่างกายที่ร้าวลึกราวกับจะฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ  เจ็บเหมือนจะตาย  แบคฮยอนรู้สึกว่าตนเองกำลังจะตาย

“อย่าเกร็งเด็กดี  มันจะยิ่งเจ็บ”นวดคลึงบั้นท้ายอวบอิ่มเพื่อให้คนถูกรังแกได้ผ่อนคลาย  ขยับเข้าออกเชื่องช้าแต่ลึกสุดอารมณ์หวังให้แบคฮยอนปรับตัวได้รวดเร็ว

จากแผ่วเบาสู่ความหนักหน่วง  จากเนิบช้าสู่ความร้อนแรง  แม้จะพยายามแค่ไหนท่จะอ่อนโยนแต่ชานยอลก็ไม่อาจควบคุมสัญชาตญาณดิบเถื่อนในตัวได้  สุดท้ายก็เร่งจังหวะเข้าใส่ช่องทางคับแน่นไม่ออมแรง  โชคดีเหลือเกินที่แบคฮยอนปรับตัวกับขนาดความใหญ่โตนี้ได้บ้างแล้ว  ความเจ็บปวดจึงไม่มากเท่าในตอนแรก

“อืม แบคฮยอน  สุดยอดเลยเด็กดี”

“อ๊ะ อ๊ะ  เบา อ๊า เบาหน่อย อ๊ะ อ๊า”กายเล็กโยกคลอนตามแรงที่เสือกไสไร้ปราณี หอบหายใจขาดห้วงเพราะความถี่รัวไม่สนจังหวะหรือความงดงามใดๆ  มีเพียงความรุนแรงที่บ่งบอกถึงความต้องการของคนกระทำเท่านั้น  ยิ่งต้องการมาก  ยิ่งรุนแรงมาก 

กายร้อนถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว  ร่างเล็กถูกจับให้พลิกคว่ำลงกับเตียงที่ส่งเสียงลั่นเอียดอาดตามความร้อนแรงของทั้งคู่ แบคฮยอนคิดว่าก่อนหน้านี้มันรุนแรงและไร้ปราณีที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้ต้องคิดใหม่อกครั้ง  เพราะท่าทางที่เปลี่ยนไปทำให้ชานยอลยิ่งถนัดมากกว่าเดิม  กายร้อนยิ่งรุนแรงและสอดลึก  จุดอารมณ์ภายในของเด็กน้อยถูกกระตุ้นไม่หยุดพัก  กระแทกกระทั้น บดขยี้ลงไปจนทนไม่ไหวต้องปลดปล่อยเอาความคั่งค้างออกมาจนหมด  ของเหลวสีขุ่นเลอะเต็มเตียง 

“อ๊า!!!”แบคฮยอนกระตุกรัวเมื่อถึงฝั่งฝัน  ช่องทางยิ่งขยิบถี่โอบรัดกายร้อนของชานยอล จนได้ยินเสียงซูดปากจากคนตัวสูงที่ใกล้แตะเพดานอารมณ์เช่นกัน  ยิ่งถูกรัดแน่นก็ยิ่งรุนแรง  ชานยอลกระแทกเข้าใส่อีกสองสามครั้งก็ปลอดปล่อยออกมาจนเต็มช่องทางนั้น   ทิ้งกายลงกอดแนบกับร่างที่คว่ำหน้าหมดแรงอยู่บนเตียง  แช่กายเอาไว้ภายในไม่นานก็ถอนออกมาช้าๆ  น้ำรักที่ปลดปล่อยภายในไหลเยิ้มตามออกมาเป็นทางจนเลอะไปทั่วก้อนเนื้อกลมกลึงอวบอิ่ม  ชานยอลมองดูภาพนั้นอย่างพอใจ  จูบลงท่ขมับชื้นเหงื่อเบาๆอย่างรักใคร่

“นายเป็นของฉันแล้วนะแบคฮยอน  เป็นทุกอย่างของฉัน”

TBC.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น