วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Intro #FLandG





Intro #FLandG

"ปล่อย..." จิระพยายามยื้อร่างกายอ่อนปวกเปียกของตนเองออกมาจากชายตรงหน้าที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมง ตั้งใจจะมอมเหล้าเขาแท้ๆ แต่กลับพลาดท่าโดนมอมเสียเอง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ต้องพาตนเองออกไปให้พ้นจากอีกฝ่ายก่อนที่จะถูกทำรุ่มร่ามไปมากกว่านี้

ผละตัวออกมาได้ก็รีบแหวกฝูงชนที่กำลังโยกย้ายเบียดเสียดกันอยู่ แสงสีและเสียงเพลงยิ่งทำลายสติการรับรู้มากขึ้น อย่างน้อยก็ต้องออกไปให้พ้นร้านเสียก่อน ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูร่างทั้งร่างก็ถลาเข้าสู่อ้อมแขนของใครบางคนที่เดินสวนเข้ามา

"คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?" เสียงทุ้มเอ่ยถาม

เสียงคุ้นหูเสียจนจิระอยากเห็นหน้า แต่เปลือกตาก็หนักเกินกว่าจะฝืนมอง

"ไม่.. ไม่เป็น"

"จี จีใช่ไหม" นอกจากเจ้าของอ้อมแขนนี้จะมีน้ำเสียงที่คุ้นหูแล้ว ดผุเหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักตนเองเสียด้วย จิระพยานามฝืนตนเองอีกครั้งแม้เรี่ยวแรงและสติแทบไม่เหลือ ใบหน้าเลือนลางท่ามกลางแสงสีแต่กลับเด่นชัดในความรู้สึก เพราะจำได้ขึ้นใจ แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าก็รู้ได้ทันที

"พี่หวานหรอ..."



จิระรู้สึกตัวเล็กน้อยเพราะถูกรบกวนการนอนแต่ก็ไม่อาจเรียกสติทั้งหมดกลับมาได้ ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศกระทบผิวราวกับร่างกายนี้ไร้ซึ่งอาภรณ์ แรงกดทับหนักๆ พร้อมเสียงกระซิบแหบพร่าข้างหู

"จี พี่คิดถึงนะ"

จิระจำได้ น้ำเสียงแบบนี้ ชายคนเดียวที่เคยได้ครอบครองเมื่อนานมาแล้ว คนที่ลึกๆแล้วยังคงคิดถึงอยู่เสมอ

"พี่หวาน... อ่ะ!" จิระสะดุ้งเพราะรู้สึกถึงความเย็นที่สอดแทรกผ่านเข้ามาในช่องทางด้านหลัง

"อย่าเกร็ง แค่นิ้ว"

"มันเจ็บ อื้อ"

ก้านนิ้วดันเข้ามาจนสุดความยาว ก่อนจะขยับเชื่องช้าให้คนถูกกระทำได้ปรับตัว ความฝืดแน่นค่อยๆคลายลง ก่อนที่สองนิ้วจะถูกดึงออกไปและบางสิ่งที่ใหญ่โตกว่าพยายามสอดเข้ามาแทน

"อ๊า! มันเจ็บ เจ็บ!"

"ใจเย็นจี พี่จะค่อยๆทำ"

จิระผวากอดอีกฝ่าย รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ อวัยวะโตเต็มที่รุกล้ำเข้ามาไม่หยุด ความทรมานที่ไม่เคยพบเจอเพราะมีบางอย่างเป็นเม็ดขรุขระเสียดสีไปกับผนังด้านใน ยิ่งดันเข้ามาลึกก็ยิ่งต้องยกสะโพกรับราวกับกลัวว่ามันจะหายไป จิระห้ามตนเองไม่ได้ แม้จะเจ็บ แต่ก็ต้องการเช่นกัน

"แน่นมาก"

"พี่หวาน อะไรไม่รู้ มันเจ็บ... อ่ะ อ๊า เจ็บ"

"อืม อย่าเกร็ง" เสียงทุ้มกระซิบเบาๆ ก่อนจะเริ่มขยับจนร่างบอบบางหวีดร้องครวญคราง "มุกครับ จีเสียวไหม"

แรงอัดกระแทกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนจิระดิ้นพล่าน เผลอเด้งสะโพกสวนรับอย่างไม่นึกอาย อ้าปากร้องแข่งกับเสียงเนื้อกระทบกันจนลั่นห้อง จิระคิดว่าตนเองกำลังฝัน ไม่มีทางที่ตนเองจะได้อยู่กับคนที่ไม่เจอกันนานเป็นสิบปี ไม่มีทางที่ชายหนุ่มที่แสนสุภาพและอ่อนโยนคนนั้นจะมีรสนิยมเฉพาะตัวอย่างการฝังมุกและรสเซ็กส์ที่ดุดัน ตอนนี้เขากำลังฝัน แต่การปล่อยตัวปล่อยใจในความฝันก็คงไม่ผิดอะไร

"อึก... ลึก อ่า"

"ร้องดังๆอีก อืม... ให้พี่ฟังเสียงจีตอนเสร็จหน่อยครับ"

"พี่ อ๊ะ พี่หวาน แรงไป อ๊ะ มันจะ..."

เสียงสูดปากดังอยู่ข้างหูพร้อมกับเสียงทุ้มที่กระซิบบอกให้ครางดังกว่านี้ไม่หยุด แรงกระแทกที่แรงจนเนื้อตัวสั่นคลอนกำลังพาให้จิระขึ้นไปแตะจุดสูงสุด ยิ่งร้องดังยิ่งถูกชำเราหนักหน่วงเร่งให้ถึงเร็วขึ้น มือเท้าเกร็งจนหงิกงอ แต่คนกระทำก็ไม่คิดจะสงสาร

"อ๊ะ! จะถึง อึก พี่หวาน พี่หวาน อ่ะ อ๊า!"

ร่างกายกระตุกหงึกพร้อมทั้งปลดปล่อยออกมาเต็มที่ ความรู้สึกราวกับกระโดดลงจากยอดตึกเกือบทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น จิระหอบหายใจสองแขนยังคงกอดคออีกฝ่ายไว้แน่น รับรู้ได้ถึงจังหวะที่หนักขึ้น เร็วขึ้น และรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ฉีดพ่นเข้าใส่เต็มช่องทางก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบไป


.

.

.


เสียงสายน้ำกระทบลงพื้นปลุกให้จิระรู้สึกตัวขึ้น เตียงที่ไม่คุ้นเคย เครื่องปรับอากาศที่เย็นกว่าปกติ และความเจ็บร้าวที่สะโพก ทุกอย่างกำลังบอกว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในห้องของตนเอง และเมื่อคืนก็ไม่ใช่ความฝัน ลนลานลุกจากที่นอนคว้าเสื้อผ้ากระจัดกระจายบนพื้นขึ้นมาสวม สายตาเหลือบมองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท

วินาทีนี้จิระไม่กลัวแล้วว่าตนจะนอนกับคนแปลกหน้า เพราะสิ่งที่กลัวยิ่งกว่าคือการนอนกับคนที่ไม่อยากเจอที่สุด สายตาเลื่อนไปเจอกระเป๋าสตางค์บนโต๊ะ สองจิตสองใจที่จะเปิดดู แต่ความอยากรู้ก็ชนะทุกครั้ง ทันทีที่เปิดดูด้านใน บัตรประชาชนเด่นหรานั่นก็ทำให้สติหลุดไปชั่วขณะ

ชยันต์ วรภัทร

"ฉิบหายแล้วไอ้จี"

จิระวางทุกอย่างลงแล้วรีบพาตนเองออกจากห้องแต่ความรู้สึกเปียกแฉะที่ช่องทางก็ทำให้นึกหงุดหงิด ไอ้คนเฮงซวยนั่นไม่ยอมใส่ถุงยาง จะให้เปียกแบบนี้ไปขึ้นแท็กซี่คงไม่เหมาะ สุดท้ายกว่าเดินไปคว้าเอากุญแจรถที่วางอยู่ออกมาด้วย

"ยืมก่อนแล้วกันนะ"


ดูเหมือนที่นี่จะเป็นโรงแรมหรูสักแห่งที่ชาตินี้คนอย่างจิระคงไม่มีปัญญาเสียเงินเข้ามาแน่ๆ ออกจากลิฟล์มาได้ไม่ทันไรก็เกิดปัญหาตามมาทันที

มันจอดรถไว้ตรงไหนวะ?

จะไปขอให้พนักงานช่วยตามหาก็ดันไม่รู้ทะเบียน ต้องเดินตามหาเองเพิ่มความยุ่งยากไปอีก รู้อย่างนี้ขึ้นแท็กซี่อย่างเดิมคงจะดีกว่า

สอดสายตาหารถที่เป็นยี่ห้อเดียวกัน ก่อนจะค่อยๆกดปลดล็อคไปทีละคัน ยิ่งเห็นก็ยิ่งไม่อย่างจะเชื่อว่าชยันต์จอดรถไกลขนาดนี้แต่ยังอุตส่าห์พาตนเองที่เมาเละเทะแบบนั้นขึ้นไปถึงห้องได้


ปิ๊บ!

"เยส!" แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไปนั่งอย่างใจคิดก็ถูกใครบางคนดึงเอาไว้เสียก่อน

การเผชิญหน้ากันอีกครั้งในแบบที่มีสติครบถ้วนทำให้จิระควบคุมตนเองไม่ได้ มือไม้เริ่มสั่นอย่างที่ไม่รู้ว่าสาเหตุนั้นเป็นเพราะความกลัวหรือความโกรธ

"พัฒนาขึ้นนะจี" ชยันต์ยกยิ้ม "สิบสองปีก่อนขโมยเงินสามล้าน แล้วตอนนี้ ก็ขโมยรถเจ็ดล้านอีก ให้พี่แจ้งตำรวจดีไหม"


TBC.


#FLandG




วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

[OS Special EXO 5th anniversary] I'm in love with a monster ตอน... มุกเราไม่เก่าเลย

OS Special EXO 5th Anniversary

I'm in love with a monster

ตอน... มุกเราไม่เก่าเลย

Note: เหมือนเดิม เนื้อเรื่องไม่เคยเกี่ยวไรกะวันพิเศษ แค่เห็นว่าเป็นวันพิเศษเลยอัพ 😂



วันนี้เกาะนางเงือกดูจะคึกคักเป็นพิเศษ  เพราะงานฉลองครบรอบ5ปีที่นายหัวฉลามปลุกปล้ำจนได้เมียเด็กมาครองสมใจ  แบคฮยอนในวัย23ปีกำลังผุดผ่องแพรวพราว  ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์เสมอต้นเสมอปลาย  ผิวพรรณขาวใสนุ่มนิ่มดั่งผิวทารก  ในขณะที่นายหัวฉลามอย่างปาร์คชานยอลที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัย41ปีในอีกไม่กี่เดือนนั้นก็ดูหนุ่มแน่นผิดอายุอานาม  คงจริงที่ว่าบางคนยิ่งแก่ก็ยิ่งฮอต  นายหัวฉลามก็เป็นคนเช่นนั้น  ผิวเข้มคร้ามแดดกับร่างกายสูงใหญ่แน่นไปด้วยมัดกล้ามนั้นไม่สามารถถูกปิดบังเพราะเสื้อผ้าอาภรณ์  แบคฮยอนชอบพูดติดตลกอยู่เรื่อยว่าปาร์คชานยอลนี่ฮอตทะลุผ้าผ่อนออกมาได้น่าหมั่นไส้เหลือเกิน

แบคฮยอนปรารถนาที่จะรังสรรค์พื้นที่ส่วนตัวของตนเป็นงานปาร์ตี้เพื่อทุกๆคน ในทุกปีชานยอลจะให้จัดงานครบรอบเอาใจคนตัวเล็กที่เกาะฉลามเพราะพื้นที่กว้างขวางกว่าและไม่อยากไปรุกล้ำเกาะส่วนตัวของแบคฮยอนที่ตนยกให้ไปแล้ว  แต่ปีนี้ต่างออกไป  แบคฮยอนอยากให้งานถูกจัดขึ้นที่เกาะนางเงือก  เพราะคิดว่าเกาะแห่งนี้เงียบเหงามานานเกินไปแล้ว 

"อันนี้สคริปนะคะ  คุณสองคนก็พูดถึงกันเล็กๆน้อยๆเหมือนทุกปี" 

"เราไม่ได้จัดปีแรกนะ  ต้องมีสคริปด้วยหรือไง  แล้วจะให้พูดอะไรถึงกันนักหนา  น่ารำคาญจริงๆ"  ปาร์คชานยอลบ่นอย่างรำคาญใจเมื่อหญิงสาวที่ซายังจ้างมาช่วยงานส่งกระดาษสคริปให้

"พูดงี้คือคุณไม่มีอะไรจะพูดกับผมแล้วใช่มะ!  อ่อๆ  ห้าปีแล้วนี่  เบื่อแล้วดิ  ตอนได้ใหม่ๆไม่เห็นเป็นงี้  โธ่เอ๊ย!"  แบคฮยอนที่เห็นชานยอลบ่นก็ไม่ยอมน้อยหน้า 

"ไม่ใช่แล้วแบคฮยอน  โตแล้วมีเหตุผลหน่อย"

"โตแล้วมีเหตุผลหน่อย... งั้นหรอ"  คนตัวเล็กโบกมือไล่หญิงสาวให้ออกไปก่อน  เนื่องจากตนมีเรื่องต้องเคลียร์กับนายหัวฉลาม  "เพราะโตแล้วใช่มั้ยคุณถึงเปลี่ยนไปน่ะ  เมื่อก่อนนี่อะไรก็ได้หมด  ชอบเด็กๆงี้หรอไอ้โรคจิต!" 

"ไปกันใหญ่แล้วนะครับ"  ชานยอลส่ายหน้าเบาๆให้กับความคิดแปลกๆของนายหญิงสุดที่รัก 

ความจริงในใจนั้นแบคฮยอนไม่ได้อยากทำตัวไร้เหตุผล  มันเป็นแบบนี้มาห้าปีแล้ว  แบคฮยอนเคยเอาแต่ใจขี้โวยวายร้ายกาจอย่างไรก็อย่างนั้น  ยิ่งนานวันก็ยิ่งตระหนักได้ว่าพอโตแล้วท่าทางพยศแบบเด็กๆมันคงไม่ได้น่ามองเหมือนเคย  นายหัวฉลามอาจจะเริ่มรู้สึกเบื่อรำคาญเขาขึ้นมาในสักวัน  พยายามจะปรับปรุงแล้ว  แต่สุดท้ายพอกังวลมากๆเข้าก็ระเบิดตู้มกลายเป็นคุณหนูบยอนผู้เอาแต่ใจใช้แต่อารมณ์คนเดิมไม่เปลี่ยน 

"ฮืออออออออออ"  ทำอะไรไม่ได้... ร้องไห้โวยวายซะเลย

"แบคฮยอน  คุณเป็นอะไรเนี่ย  อารมณ์คุณไม่คงที่เลยนะช่วงนี้  ท้องรึเปล่าครับ" 

"ฮืออออออออออ ไม่มีมดลูกโว๊ยยยยยยย" 

คนตัวเล็กทิ้งร่างลงกับพื้นก่อนจะร้องไห้เหมือนเด็กๆจนนายหัวฉลามต้องลงมานั่งกอดปลอบทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กน้อยของเขานั้นเป็นอะไร 

"มีอะไรบอกผมได้นะครับ  เราอยู่ด้วยกันมา5ปีแล้ว  ผมอยากให้เรารู้ใจกัน  ที่ไม่อยากให้มีสคริปอะไรนั่นเพราะมันไม่จำเป็น  คำพูดพวกนั้นมันเทียบไม่ได้กับที่ผมรู้สึก  ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าผมเบื่อ  มันไม่ใช่เลยสักนิด"

"กลัว..."

"หื้ม?"

"ผมกลัว... ฮึก มันผ่านมา5ปีแล้ว  ผมกลัวคุณจะเบื่อ ฮึก"

"เด็กดี  ไม่ว่าจะผ่านไปอีกสักกี่ปี  ผมจะแก่กว่านี้  อาจจะเป็นฉลามเฒ่าหมดสภาพในขณะที่คุณเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เป็นความสดใสของโลกทั้งใบ  เป็นคนที่งดงามจนผมไม่คู่ควร  แต่ผมก็จะยังรู้สึกเหมือนเดิม  เหมือนกับวันแรกที่เห็นคุณ  ผมจะตื่นขึ้นมาในทุกๆเช้า  และตกหลุมรักคุณในทุกๆวัน"  ชานยอลโน้มใบหน้าลงจุมพิตแก้มใสแผ่วเบา  ใช้ไรหนวดที่เริ่มครึ้มเขียวคลอเคลียจนแบคฮยอนหลุดเสียงหัวเราะออกมา

"ขอบคุณ"


.
.
.

"มีใครรู้บ้างว่าเจ้าของงานหายไปไหน"  แขกเหรื่อที่ถูกเชิญมาทั้งผู้ใหญ่และเหล่าลูกจ้างของทั้งเกาะผีเสื้อและส่วนงานอื่นๆกำลังสงสัยเหมือนกันว่านายหัวฉลามและนายหญิงแบคฮยอนนั้นหายไปอยู่ที่ไหนกัน  ตั้งแต่เริ่มงานช่วงเย็นก็ไม่มีใครเจอทั้งคู่แม้แต่เงา  ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้วถ้าเจ้าของงานทั้งสองคนยังไม่มาอีกทุกคนคงจะฉลองกันโดยไม่รอให้เสียเวลาอีกแล้ว

"ผมว่า... ทุกคนจัดการเลยดีกว่าครับ  คิดซะว่าเป็นโบนัสเล็กๆน้อยๆ  นายหัวกับนายหญิงกลับมา  ผมจะบอกให้เอง"  ซายังเอ่ยเชิญแขกให้สนุกกันเต็มที่โดยไม่ต้องรอใครอีก  เพราะดูๆแล้วเจ้านายทั้งสองคนคงไม่กลับมาร่วมงานอีกแน่นอน 

"งั้นพวกเราไม่เกรงใจแล้วนะคะ  ถ้าคุณซายังจะรับผิดชอบให้"

"ครับ"  คุณพ่อบ้านตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะทอดสายตาไปยังทะเลกว้างที่มีแสงสีเขียวจากไฟไดหมึกดวงเดียวอยู่ท่ามกลางความมืด


.
.
.


แบคฮยอนกำลังคลื่นไส้  เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตนร้องไห้งอแงกับนายหัวจนหลับคาอกไป  คิดเอาว่าหลังจากนั้นคงถูกพามานอนพัก 

พยายามลืมตาแต่ก็ต้องเอามือป้องไว้เพราะไฟแปลกๆสีเขียวที่สาดเข้ามา  เสียงลมหวีดหวิวกับอาการโคลงเคลงนี่มัน...

คุ้น...

เหมือนกับเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน...

สมองประมวลผลได้ทั้งหมดทั้งสิ้นก่อนภาพเมื่อ5ปีก่อนจะย้อนเข้ามา

แบคฮยอนฝืนเบิกตาและก็ได้พบว่า  ตอนนี้ตนกำลังอยู่...

กลางทะเล!

"คุณ!"  เมื่อเห็นว่านายหัวฉลามจอมโรคจิตนั่งอญุ่ใกล้ๆมองมมไม่วางตาก็หัวร้อนไปหมด  เอาอีกแล้วนะ  ทำเรื่องพิเรนๆอีกแล้ว!

"ตื่นแล้วหรือครับ  คุณหลับลึกแบบนี้ทุกทีจนผมเริ่มกังวลแล้วว่าจะถูกใครลักพาตัวไปเข้าสักวัน"

"มีแต่คุณนี่แหละที่ลักพาตัวผม  โอ๊ย!  อยากจะบ้า  ก่อนหน้านี้เพิ่งคุยกันดีๆแท้ๆ"  แบคฮยอนขยี้ผมอย่างหงุดหงิด

"เอาน่า  ระลึกความหลังไง นี่ผมอุตส่าห์เปลี่ยนเรือให้เลยนะ  รอบนั้นมันสกปรกไปหน่อย"

แหม...  ใจดีจัง 

แบคฮยอนหน้างอใส่คนที่ขยับเข้ามาใกล้  ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมตนต้องมาเจอคนที่รสนิยมประหลาดแบบนี้ซ้ำยังอยู่ด้วยกันมานานห้าปี  บางทีแบคฮยอนก็คิดว่าตนเริ่มจะประหลาดตามนายหัวฉลามไปด้วยแล้ว 

"นี่คุณตั้งใจจะทำเหมือนวันแรกเลยใช่มะ"

"คุณคิดว่าไงล่ะครับ"

เพี๊ยะ!  มือเรียวสวยฟาดลงบนใบหน้าหล่อเหลาของนายหัวเต็มแรง

"คุณมันโรคจิต!  พาผมกลับเข้าฝั่งเดี๋ยวนี้นะ  ไม่งั้นผมโดดลงไปแน่!" 

"นายหญิงของเรานี่ร้ายจริงๆ"  ชานยอลหัวเราะในคอเมื่อได้ยินว่าแบคฮยอนแสร้งโวยวายแล้วพูดด้วยประโยคเดียวกับที่เคยพูดเมื่อห้าปีก่อน  "ตอนนี้ถ้าคุณจะโดด  ก็ทำได้อย่างเดียวนะครับ...  โดดขึ้นลงบนตัวผมไง"


ริมฝีปากหนาโผจูบตะกรุมตะกรามจนคนตัวเล็กผงะหงายลงไปนอนกับพื้นไม้แข็งๆ  เสียงดูดจ๊วบจ๊าบดังแข่งกับคลื่นลมอย่างไม่มีใครคิดอาย  มือใหญ่โตดึงรั้งฉีกกระชากเสื้อผ้าของอีกฝ่ายจนขาดหวิ่นติดมือ

"อื้อ! พอก่อน"  แบคฮยอนหอบหนักกับการรับจูบที่รุนแรงจากชานยอล  ลมเย็นกระทบผิวที่ไรอาภรณ์ปกปิดจนขนอ่อนลุกไปทั้งร่าง 

"ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย  หิวจะแย่แล้ว"  ชานยอลกระซิบเสียงพร่า  หวังจะให้อีกฝ่ายหงุดหงิดกับความลามกโรคจิตของตนแต่ก็ต้องแปลกใจที่เห็นแบคฮยอนกระตุกยิ้มแล้วพลิกตัวนอนคว่ำไม่รอให้เขาบังคับขืนใจ  สะโพกกลมกลึงแน่นเนื้อส่ายยั่วเย้า  ใบหน้าหวานใส่ฟุบกับพื้นไม้

"อย่าทำอะไรผมนะไอ้โรคจิต  อื้อออออ!"  ร่างเล็กสะดุ้งเพราะความชื้นแฉะที่แตะเข้ากับช่องทาง 

มือหนาบีบก้นขาวจนเนื้อปริล้นง่ามนิ้วมือ  แหวกออกจากกันขนช่องทางเผยอเด่นล่อใจ  ลงลิ้นเข้าใส่จนคนถูกรังแกสั่นสะดุ้ง  ทั้งดูดดุนแยงใส่จนก้นอวบส่ายหนีดูน่ารัก

"อื้อ  เสียว  อ๊ะ  อา... เสียวจัง"

ชานยอลละจากช่องทางพรมจูบไล้ไปทั่วบั้นท้ายขึ้นถึงแผ่นหลังผลัดขบเบาๆบ้างด้วยความหมั่นเขี้ยว  มือหนาปลดกางเกงของตัวเองอย่างรวดเร็ว  รั้งให้เด็กน้อยหันมาประจันหน้ากับท่อนเนื้อใหญ่โตที่เต็มไปด้วยความขรุขระจากมุกแท้ที่ฝังเอาไว้และเส้นเอ็นปูดนูนน่ากลัว 

แบคฮยอนกัดปากอย่างช่างใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  แม้จะทำกันมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ใช่ว่าจะได้ใช้ปากให้บ่อยๆ  ยกมือขึ้นสัมผัสแกนกายร้อนที่แข็งสู้มืออย่างร้ายกาจ  เสียงครางทุ้มในลำคอทำให้คนตัวเล็กพอใจ  อย่างน้อยก็ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ถูกกระทำ 

"อ่า... ซี๊ดดดด แบคฮยอน อืมมมมม"  ท่อนเนื้อถูกแตะแต้มด้วยน้ำลายจากลิ้นอุ่น  ชานยอลก้มมองอย่างชอบใจกับภาพตรงหน้า  แบคฮยอนไล้เลียตามท่อนเอ็นราวกับว่ามันคือไอศครีมแท่งโปรด  ปากเล็กครอบครองเข้าไปจนคับปาก  จะรูดก็รูดได้ไม่สุด  ลงถึงคอหอยก็ยังไม่เคยดูดได้สุดโคนสักที

ทั้งยาวทั้งใหญ่ แล้วยังมุกเยอะอีก  บ้าที่สุดเลย

"พอแล้วครับ"  ชานยอลจับคนตัวเล็กนอนราบลงไปกับพื้น  บีบเค้นผิวขาวๆจนช้ำก่อนจะจับเรียวขาแยกออกจากกันจนแบะกว้าง  ท่าทางน่าอายทำเอาแบคฮยอนหน้าร้อนไปหมด 

"ฮือออออ  ลม  ลมมัน"  มือสวยพยายามจะเอื้อมมาปิดช่องทางที่ถุกแหวกจนขยิบเผยอ  เพราะลมที่พัดแรงอยู่นี้โกรกเข้าใส่จนเสียววาบไปหมด

"อ่าาาาา  ร้ายจริงๆ  ปล่อยให้ลมเข้าไปก่อนผมได้ยังไงครับ"  นายหัวว่าพลางใช้ท่อนเอ็นถูไถกับช่องทางแต่ไม่สอดใส่ข้าไปในทันที

อยากเห็นแบคฮยอนออดอ้อนร้องขอ  คร่ำครวญให้เขากระแทกใส่รูคันๆจนหัวสั่นหัวคลอน

"คุณ...  อื้อออออ  ทำหน่อย  ทำสิ" 

ชานยอลจ้องมองช่องทางที่ขยิบถี่เพราะเจ้าของกำลังเชิญชวนให้เขาเข้าไปชำเรามันเสียที  รูดแกนกายดุดันนั้นสองสามครั้งและแทงเข้าไปจนสุดในครั้งเดียว

"อ๊าาาา!  เจ็บ"

นายหัวฉลามไม่สนว่าร่างเล็กจะรู้สึกยังไง  เพราะเมื่อดขาสอดใส่  จะไม่เหลือความปราณีเอาไว้อีกแล้ว  กระแทกกระทั้นรุนแรงจนคนที่นอนอ้าขาอยู่นั้นครวญครางกรีดร้องราวกับหมาตัวเมียกำลังติดสัตว์ 

"อืมมมม  แบคฮยอน"  ก้มมองแกนกายที่ผลุบเข้าผลุบออกถี่รัวจนเนื้อปลิ้นบวมแดงอย่างสะใจ 

"อ๊ะ!  อ๊ะ!  อ๊ะ!"  แบคฮยอนทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจากนอนให้เขาผสมพันธุ์เหมือนสัตว์สี่ขาอย่างถึงใจ  มุกทุกเม็ดครูดกับผนังด้านในนั้นซ่านเสียวอย่างที่ไม่มีสิ่งใดบนโลกใบนี้จะเทียบเท่าได้  ขมิบสู้ไปอย่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัวจนถูกจับพลิกคว่ำแล้วกระแทกจนถลาไปข้างหนา

"โอ๊ย!  อื้อ!  สุดยอด"  เสียวจนน้ำตาไหลไปเสียทุกครั้งที่ทำรักกัน  นายหัวฉลามวัย41นั้นยังคงฮอตปรอทแตกและลีลาถึงใจเหลือเกิน  

หว่างขาทั้งเหนียวทั้งแฉะ  แต่ก็ยังไม่หายคัน  แอ่นสะโพกให้นายหัวแทงเข้าออกได้ถนัดยิ่งขึ้น  ร้องลั่นจนเสียงก้องไปทั่วท้องทะเล  สัตว์น้ำทั้งหลายคงข้องใจว่าเสียงครางร่านเหมือนโสเภณีนี่เป็นของใคร  แต่คนตัวเล็กไม่แคร์แม้แต่น้อย  เพราะมุกที่เขากำลังโดนอยู่มันสุดยอดเกินจะบรรยาย

เพี๊ยะ!

"อื้อ คุณตอดแรงไปแล้ว"  นายหัวฉลามฟาดก้นอวบเนื้อไปแรงๆ 

"อ๊าาา เสียว"

"หรอครับ  ซี๊ดดดด แล้วชอบมั้ย  ชอบรึเปล่า" 

"อ๊ะ!  ชอบ อ๊าาาา!"  คนตัวเล็กปลดปล่อยออกมาหลังจากถูกกระแทกชำเราจนหายคัน  แต่ยังคงแอ่นก้นให้มุกอันแสนร้ายกาจใส่เข้ามาจนแน่นช่องทางครั้งแล้วครั้งเล่า

"อีกนิดนะครับ  อืมมมม"

ดึงเอาแขนขาวของแบคฮยอนมาไขว้กันไว้ด้านหลังแล้วกระแทกถี่ขึ้นเมื่อใกล้จะถึงปลายทาง  คนที่ถูกชำเราด้วยท่าทางน่าอายร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียวไม่จบสิ้น 


"ฮึก... ผม  อ๊ะ อ่าาา ฮึก  จะเสร็จอีก  ฮึก ฮึก  ไม่ไหว  เสียวแล้ว  เสียว  ชาน  ชานจ๋า  เสียว อ๊ะ!  อ๊า!"  แบคฮยอนถึงฝั่งอีกครั้งพร้อมๆกับท่อนเอ็นยาวใหญ่ที่ฉีดอัดน้ำกามเข้าใส่ช่องทางมากมายจนล้นออกมาไหลเยิ้ม

"อืมมม"  นายหัวฉลามค่อยๆถอนกายออกมาก  มองดูผลงานอย่างภาคภูมิใจ  ช่องทางที่อ้ากว้างหุบไม่ลงเพราะถูกรังแกนั้นเต็มไปด้วยน้ำพันธุ์เต็มเอ่อ  "เกร็งท้องหน่อยครับ  ผมอยากดู"

ได้ตามสั่งทุกอย่างในยามนี้  แบคฮยอนเกร็งท้องตามที่ชานยอลบอก  คนมองตื่นเต้นไปหมดที่เห็นน้ำของตนนั้นไหลพรูออกมา  เขาปล่อยไปเยอะจริงๆ  อยากจะให้คนตัวเล็กได้เห็นว่าปากล่างของตนเองมันกินน้ำเขาเข้าไปมากแค่ไหน 

อืม  มันช่างเป็นภาพที่หน้ามองที่สุดสำหรับนายหัวฉลามจริงๆ

ถอดเอาเสื้อของตนสวมให้กับนายหญิงตัวเล็กที่ถูกชำเราจนสิ้นเรี่ยวแรง  จับหัวทุยให้พิงกับอกกว้างแล้วลูบเบาๆอย่างเอ็นดู

"คุณชอบฉลองแบบนี้หรือจัดงายแบบที่ทำทุกปีหรือครับ"  เอ่ยถามคนที่หลับตาพริ้มทั้งๆที่ยังไม่ได้หลับแต่ก็ไร้เสียงตอบรับใดๆกลับมา  "ผมชอบแบบนี้นะ  แต่ก็ยังอยากตามใจคุณ"

"......."

"ห้าปีมันนานนะครับ  แต่เพราะคุณทำให้ผมมีความสุข  ถึงได้รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วมาก"

"........" 

"ผมอาจจะแก่ขึ้นทุกๆวัน  แต่สัญญาว่าตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ  ผมจะอยู่เคียงข้างคุณต่อไป  จนกว่าคุณจะไม่ต้องการอีกแล้ว"

"ไม่...  ไม่มีวัน  ที่ผมจะไม่ต้องการหรอก"  แบคฮยอนตอบกลับมาเป็นประโยคแรกก่อนจะกอดร่างใหญ่โตแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป

"ขอบคุณนะครับ  ผมรักคุณจริงๆแบคฮยอน"  นายหัวจูบข้างขมับอย่างรักใคร่  สบตากับคนที่เงยหน้าช้อนมองหยาดเยิ้ม

"อืม  ผมก็รักคุณ  นายหัว" 

THE END

#นจมอด
















วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

RED 19 [full chapter]







                RED 19


                คิมมินซอกไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัดแบบนี้ เมื่อเพื่อซี้คิมจุนมยอนไปตามเฝ้าพี่จงอินเรียนภาษา คนที่เขาพอจะพึ่งได้ในเวลานี้จึงมีแค่พี่ชายหน้าดุอย่างฮวางจื่อเทาเท่านั้น เพราะเขาต้องการเจอตัวพี่คริส แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะได้ได้โผล่มาเรียนเพราะมีคนของนายพลปาร์คมาดักรออยู่


               แม้จะนั่งอยู่ข้างกันแต่กลับไม่มีใครคิดจะเอ่ยปากอะไรออกมา ตั้งแต่เจอหน้าคนตัวเล็กก็บอกแค่ว่าต้องไปเจอคริส มีเรื่องเกี่ยวกับแบคฮยอน จื่อเทาก็ไม่ใช่คนช่างเซ้าซี้ พอได้ยินแบบนั้นก็พาขึ้นรถโดยสารมาพร้อมกันทันที ต้องยอมรับว่าในใจมันกำลังเพ้อฝันไปหาคุณหนูลูกนายแบงก์ใหญ่ที่จะต้องตัวคนเดียวในอีกไม่กี่เดือนเพราจงอินไปเรียนต่อต่างประเทศ เขามองเห็นโอกาสของตนเอง มองเห็นหนทางที่จะได้ยืนเคียงข้างคิมจุนมยอน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆตอนนี้มักจะแทรกเข้ามาทำลายความเพ้อฝันเหล่านั้นเสมอ

               ถึงมินซอกจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่จื่อเทารู้ดีว่ามันยิ่งกว่าเป็นเสียอีก

                ไม่มีใครลืมเรื่องแบบนั้นได้ง่ายๆหรอก

 “มินซอก”  จื่อเทาเห็นคนที่นั่งข้างๆหันมาเลิกคิ้วอย่างข้องใจว่าตนนั้นเรียกเจ้าตัวเพื่อะไร  “เราน่าจะคุยกันจริงจัง  พี่นอนไม่หลับที่เราเป็นแบบ

“เราลงตรงไหนอ่ะพี่”  เพราะไม่อยากพูดถึง จึงตัดสินใจขัดขึ้นเสียก่อน  ที่บอกว่าไม่เป็นไรนั้นก็แปลว่าเขาไม่เป็นอะไรจริงๆ  ไม่เป็นอะไรตราบที่เราทั้งคู่ไม่รื้อฟื้นมันขึ้นมาพูดอีก

“ป้ายหน้า”

มินซอกพนักหน้ารับรู้ก่อนจะหันออกไปมองวิวด้านนอกรถ  แสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการจะฟังหรือพูดอะไรอีกในเวลานี้  รอจนรถจอดถึงป้ายตามจุดหมาย  คนตัวเล็กเดินตามจื่อเทาลงไป  มองไปรอบลานด้านล่างของหอพักแต่ไม่พบรถสองล้อคู่ใจของคริส  ขอเดาเอาว่าคงนำไปจอดที่อื่นเพื่อความปลอดภัย 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ไอ้คริส” 


                ทั้งหมดรีบเข้ามาคุยกันด้านใน  ห้องที่คับแคบไม่ได้ทำให้มินซอกรู้สึกอึดอัดหรือรังเกียจอะไร  คนตัวเล็กไม่ใช่คนถือตัวและเวลานี้ก็มีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า  มินซอกเล่าทุกอย่างให้คริสฟัง  ทั้งเรื่องที่แบคฮยอนถูกพาตัวไป  เรื่องที่โทรมาขอความช่วยเหลือ  แล้วก็เรื่องที่แบคฮยอนฝากบอกคริสว่าคิดถึงมากเหลือเกิน  

                "ผมไปเช็คมาแล้ว นายพลปาร์คมีบ้านพักอยู่แค่ที่เดียว เร็วที่สุดคงเป็นวันพรุ่งนี้"

                "วันนี้เลยไม่ได้หรือไง"  คริสถามอย่างร้อนใจ

                "พรุ่งนี้เถอะครับ เราต้องรอบคอบให้มาก อีกอย่างผมกับจุนมยอนจะเข้าไปเอง ส่วนพี่ก็เตรียมตัวรออยู่ตรงจุดนัดหมาย โอกาสมีแค่ครั้งเดียว ถ้าเราพลาดพวกนั้นจะระวังตัวขึ้นอีก เราหมดทางแน่ๆ"


                คริสยังไม่อาจคลายกังวลได้ ในหัวไม่มีเรื่องดีๆอยู่เลยตั้งแต่วินาทีที่มินซอกบอกว่าแบคฮยอนโทรขอความช่วจเหลือแต่ถูกชานยอลจับได้ ปาร์คชานยอลมันเป็นหมาบ้าตัวจริง เวลาที่มันคุมตัวเองไม่อยู่นั้นน่ากลัวแค่ไหนทำไมคริสจะไม่รู้ แล้วกับแบคฮยอนที่อ่อนแอแบบนั้น...
บัดซบเอ้ย!


                .
               
                .

                .

               
                ประตูถูกเปิดออกช้าๆพร้อมกับร่างสูงของชานยอลที่ถือถาดอาหารเข้ามา ร่างสูงวางข้าวของลงบนโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆเตียงที่มีร่างบอบบางนอนนิ่งไม่แม้แต่จะหันมามองคนที่เข้ามาใหม่


                "แบคฮยอน กินข้าวเช้าหน่อยนะ"


                "......."


                "แบค..."


                "เรารู้แล้ว วางไว้แล้วก็ออกไปสักที"


                ชานยอลได้แต่ถอนใจ เป็นวันที่สองหลังจากเหตุการณ์นั้น แบคฮยอนไม่ยอมออกจากห้อง แรกๆแทบจะไม่ทานอะไรเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ตัดความรำคาญที่ชานยอลเข้ามาตื้อบ่อยจนต้องยอมทั้งๆที่แทบจะกินอะไรเข้าไปไม่ลง


                มันเป็นเพราะเขาเอง เป็นเขาที่เลือกเองว่าจะให้เรื่องเป็นแบบนี้ เขาไม่สนว่าแบคฮยอนจะเกลียดชังกันสักแค่ไหน เขาแค่ไม่อยากให้คนตัวเล็กทำร้ายหรือทรมานร่างกายของตนเอง เพราะแค่ถูกเขาทำร้ายแบคฮยอนก็แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว


                "เรารักแบคนะ ไม่ว่าแบคจะรู้สึกยังไง แต่เราก็รักแบคฮยอนจริงๆ"


                "ไม่หรอก ถ้ารักเรา ชานจะไม่ทำแบบนี้ ชานก็แค่กลัวจะเสียเราให้พี่คริส ชานกลัวจะแพ้เขา แล้วตอนนี้เราก็เกลียดชานแล้ว"  แบคฮยอนลุกขึ้นนั่งแล้วจ้องตากับคนที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน  "เราเกลียดชานยอลมากจริงๆ"


                "กินข้าวซะ"  ชานยอลไม่แม้แต่จะตอบโต้ประโยคเกลียดชังเหล่านั้น เขาไม่อยากต่อความยาวกับคนตัวเล็ก กลัวตนเองจะโมโหจนพลั้งมืออีก กลัวจะอีกฝ่ายจะกลั้นใจตายเพราะทนรังเกียจกันไม่ไหว ไม่ใช่ว่าชานยอลไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำ แต่ในเมื่อมันเป็นวิธีสุดท้ายที่จะรั้งแบคฮยอนไว้กับตนเอง เขาก็ไม่สนถูกผิดอะไรอีกแล้ว แบคฮยอนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ เขาจะเสียคนตัวเล็กไปไม่ได้


                "คุณชายครับ มีแขกขอเข้ามาเยี่ยมครับ" นายทหารเดินเข้าแจ้งธุระแก่ชานยอลที่นั่งเหม่ออยู่บนที่โต๊ะอาหารเพียงลำพัง อย่าว่าแต่แบคฮยอนกินอะไรไม่ลง ตัวชานยอลเองก็ไม่ต่างกันเลยสักนิด


                "ใครครับ?"


                "เค้าบอกเป็นเพื่อนของคุณชายกับคุณแบคฮยอน ชื่อคิมมินซอกกับคิมจุนมยอนครับ จะให้เปิดทางเข้ามามั้ยครับ?"


                ชานยอลแปลกใจเล็กน้อยที่เพื่อนทั้งสองคนมาหาเขากับแบคฮยอนถึงที่นี่ แต่ก็พอเข้าใจถึงความวู่วามของมินซอกดี ยิ่งวันก่อนได้รับโทรศัพท์จากแบคฮยอน เพื่อนตัวเล็กจอมซ่าคงจะสืบสาวราวเรื่องจนรู้ที่อยู่ของพวกเขาได้ไม่ยาก ตระกูลนักเลงก็แบบนี้ คงใช้ทุกทางเทหมดหน้าตักหาตัวพวกเขาเชียวล่ะ


                "ครับ ให้เข้ามาได้ เพื่อนของผมเอง"


                เมื่อชานยอลเอ่ยปากอนุญาตไม่นานนักก็มีรถคันหรูติดฟิล์มทึบที่เห็นก็รู้ว่าเป็นรถของครอบครัวมินซอกมาจอดเสียชิดทางเข้าบ้าน เพื่อนตัวเล็กทั้งสองออกมาจากประตูด้านเบาะหลังแล้วปรี่เข้ามา มินซอกในชุดกางเกงยีนส์เสื้อฮู้ดคลุมหัวและแมสปิดจมูกและปากยืนชี้หน้าชานยอลอย่างเอาเรื่อง


                "แบคฮยอนอยู่ไหน"


                "มินซอ...."


                "ไม่ต้องพูดมาก ไม่อยากได้ยินเสียง ตอบมาแแบคฮยอนอยู่ไกนก็พอ"


                "เฮ้อ... ห้องนู้น"  ชานยอลถอนใจอย่างยอมแพ้ก่อนจะชี้ไปยังประตูห้องของแบคฮยอน มินซอกสะบัดหน้าหนีก่อนจะรีบตรงไปยังห้องที่ชานยอลบอกทาง


                จุนมยอนเดอนตามหลังมาได้แต่ส่งยิ้มให้เพื่อนตัวสูงที่เต็มไปด้วยความอ่อนล้าบนใบหน้า ทุกคนย่อมมีเหตุผลกับสิ่งที่ทำลงไป จุนมยอนเชื่อแบบนั้นเสมอ และชานยอลก็เป็นเพื่อนของตนมานาน ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อเลยว่าเพื่อนคนนี้จะทำอะไรโดยไร้เหตุผลอันสมควร


                "มินซอกไม่ค่อยสบายน่ะ อารมณ์เลยรุนแรงนิดหน่อย"


                "อืม ไม่เป็นไร"


                "ชานยอล ไม่ได้ทำร้ายแบคฮยอนใช่มั้ย เรากลัวจริงๆว่าความเป็นเพื่อนของพวกเรามันจะพังพินาศไปหมด"


                "ขอโทษจุนมยอน แต่เราน่ะ... ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยลงไปแล้ว"


                "ชานยอล..." ได้ยินเพียงเท่านี้คนตัวขาวก็เดาได้แล้วว่าชานยอลทำอะไรลงไป


                "เราเสียใจ ทั้งตอนที่ทำจนตอนนี้ เราก็ยังเสียใจ แต่ถึงย้อนเวลากลับไปได้เราก็จะทำแบบนี้อยู่ดี ขอโทษที่ฉันทำให้ความเป็นเพื่อนของพวกเราพัง แบคฮยอนกับมินซอกคงไม่อยากมองหน้าฉันอีกแล้ว จุนมยอนเองจะเกลียดฉันก็ได้นะ"


                "ทุกบาดแผลมีทางรักษานะ เมื่อทุกอย่างมันอยู่ถูกที่ถูกทางของมัน มันจะเยียวยาบาดแผลนั้นเอง เรายังเป็นเพื่อนกัน แบคฮยอนกับมินซอกก็เหมือนกัน พวกเขาแค่โกรธ แต่เมื่อถึงเวลา พวกเขาจะลืมมันได้แน่นอน"


                "ขอบคุณ" ชานยอลเอ่ยอย่างอ่อนล้า


                "เราจะเข้าไปดูแบคฮยอนสักหน่อย ชานยอลก็ทานข้าวบ้างนะ" คนตัวขาวชี้ไปยังโต๊ะอาหารที่ยังคงมีข้าวเต็มจานวางอยู่ ก่อนจะเดินตามมินซอกเข้าไปดูเพื่อนอีกคนที่คงบอบช้ำอยู่ไม่น้อย


                ชานยอลกลับไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม มองอาหารตรงหน้าแล้วก็อดเป็นห่วงแบคฮยอนไม่ได้ ข้าวเช้าที่เอาเข้าไปให้นั้นจะทานมันหรือยัง หวังว่าจุนมยอนกับในซอกคงจะพอทำให้แบคฮยอนเจริญอาหารขึ้นมาบ้าง


                ทิ้งให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันในห้องร่วมสองชั่วโมงโดยที่ชานยอลไม่เข้าไปยุ่มย่ามแม้แต่น้อย เขาคิดว่าตนไม่ควรปรากฏตัวเวลานี้ แบคฮยอนคงรู้สึกดีขึ้นหลังจากเจอเพื่อนๆ ถ้าเห็นหน้าเขาอาจจะพาให้หดหู่ขึ้นอีก


                เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กของมินซอกที่อยู่ในชุดเดิมเดินปรี่ผ่านหน้าไปขึ้นรถทันทีโดยไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน ซึ่งชานยอลก็ไม่อยากจะเร้าหรือเพราะคิดว่ามินซอกคงรู้แล้วว่าเขาทำอะไรแบคฮยอน ไม่แปลกที่จะโกรธจนไม่อยากมองหน้า


                "เราจะกลับแล้วนะ แบคฮยอนทานข้าวหมดแล้ว" จุนมยอนเดินออกมาพร้อมถาดอาหารที่ดูเหมือนจะถูกจัดการจนหมดเรียบร้อย


                "หรอ ดีแล้วล่ะ"


                "ยังไงก็ปล่อยให้แบคฮยอนอยู่คนเดียวสักพักนะ เดี๋ยวก็คงดีขึ้น"


                "อืม บอกคนรับขับดีๆล่ะ ขอบคุณมากนะจุนมยอน ฝากขอบคุณมินซอกด้วย"


                เพื่อนของเขากลับไปแล้ว บรรยากาศกลับมาอึมครึมเงียบเชียบอีกครั้ง ใจจริงอยากจะเข้าไปดูแบคฮยอนสักหน่อย แต่เพราะจุนมยอนบอกให้ปล่อยคนตัวเล็กไว้ ชานยอลก็ได้แต่เฝ้ารออีกคนออกมาเจอหน้ากันบ้าง


                ร่างสูงเดินออกไปสูดบรรยากาศด้านนอกเพราะอึดอัดไม่น้อยกับการหมกตัวอยู่ด้านใน อยากให้แบคฮยอนออกมายืนด้วยกันตรงนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงมีความสุขมากเหลือเกิน


                "นี่..." ความผิดปกคิบางอย่างเกิดขึ้นบนชั้นวางรองเท้าแบบที่ชานยอลสังเกตได้ รองเท้าที่เขาจำได้ว่าเป็นของมินซอกวางอยู่แต่กลับเป็นช่องรองเท้าของแบคฮยอนที่ว่างแทน


                มินซอกใส่รองเท้าไปผิดอย่างนั้นหรือ?


                เป็นไปไม่ได้...

                ไม่ว่าจะมินซอกหรือจุนมยอน ทั้งสองคนก็มีขนาดเท้าที่ใหญ่กว่าแบคฮยอนอยู่ ถึงจะเพียงเล็กร้อยแต่ก็ไม่น่าจะใส่รองเท้าของแบคฮยอนได้

                คิดได้อย่างนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าไปยังห้องนอนของคนตัวเล็ก พยายามจะเปิดประตูแล้วแต่ดูเหมือนมันจะถูกล็อคเอาไว้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แบคฮยอนไม่เคยล็อคห้องนี่นา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก


                "แบคฮยอน! เปิดประตู!"


                ก๊อก ก๊อก ก๊อก


                "ไปเอากุญแจมา! เอากุญแจมาให้ผม!"


                นายทหารที่ได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งไปหยิบเอากุญแจห้องมาให้คุณชายปาร์คตามคำสั่ง ชานยอลรีบไขกุญแจเข้าไปและก็พบว่าความหวังทั้งหมดพังทลายลงไปแล้ว มินซอกที่สวมเสื้อผ้าของแบคฮยอนกำลังนั่งยิ้มกริ่มอยู่บนที่นอน


                "เสียใจด้วยนะ แต่แบคฮยอนไม่ได้อยู่นี่แล้ว"



                .

                .

                .

                รถยนต์คันสีดำจอดเทียบขอบถนนไฮเวย์ใกล้กับฮายาบูสะคันโตที่มีชายสองคนยืนรออยู่ แบคฮยอนเปิดประตูลงจากรถพลางดึงเอาแมสปิดจมูกออก สองขาตรงดิ่งไปหาร่างสูงใหญ่ของคริสที่กำลังเดินมาหาเช่นกัน ทั้งคู่ถลันเข้ากอดกันแนบแน่นด้วยความโหยหา คนตัวเล็กปล่อยโฮออกมาทันทีที่ได้รับอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นและปลอดภัย


                "รีบไปกันได้แล้ว" จื่อเทาที่สวมบทคนขับรถให้รถของตระกูลคิมบอกกับทั้งคริสและแบคฮยอน บางทีชานยอลอาจรู้ตัวเร็วและตามมา ดังนั้งทั้งสองจึงจำเป็นต้องไปให้ไกลที่สุดเท่าจะำได้ในเวลานี้


                "ดูแลตัวเองกันดีๆนะ รีบๆไปเถอะ" จงอินที่มายืนรอพร้อมคริสอยู่นานหลายชั่วโมงก็รีบเอ่ยไล่เช่นกัน จุนมยอนโบกมือลาแบคฮยอนที่ยังคงสะอื้นอยู่ในอ้อมอกของคริส ก่อนจะถูกจงอินดึงมือให้กลับมาขึ้นรถพร้อมปลอบว่าคริสจะดูแลแบคฮยอนได้ดีแน่นอน


                "เราต้องไปกันแล้ว มึงพร้อมจะไปกับกูใช่มั้ย" คริสถามย้ำ


                "ครับ... ผมจะไปกับพี่ เราจะไม่แยกจากกันอีกแล้ว"


                "อืม ไปกันเถอะ" คริสจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผากมนก่อนจะขึ้นคร่อมรถคันโตโดยมีแบคฮยอนซ้อนท้ายกอดเอวเอาไว้แน่น


                คริสไม่ได้มีจุดหมาย ตอนนี้เขาแค่อยากพาแบคฮยอนไปให้ไกลที่สุด ไกลจนไม่มีใครตามพวกเขาเจอ ยิ่งพื้นที่ชนบท หรือเมืองเล็กๆจะยิ่งห่างหูห่างตาผู้คน พวกเขาคงรอดไปได้สักพักจนกว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางและหาหลักแหล่งที่อยู่ได้แน่นอน


                .
                .
                .


                "มึงเหนื่อยรึยัง" คริสเอ่ยถามเมื่อเวลานี้ทั้งคู่กำลังเดินอยู่ริมถนนโดยที่คริสต้องเข็นเจ้าฮายาบูสะลูกรักไปด้วย เพราะก่อนหน้าต้องซ่อนรถเอาไว้แล้วรีบไปเอามารอรับแบคฮยอนเขาจึงลืมคิดเรื่องเติมน้ำมันไปเสียสนิท ขับมาได้สี่ห้าชั่วโมงน้ำมันก็เกลี้ยงถังซะอย่างนั้น ยิ่งอยู่ช่วงถนนตัดเข้าตีนเขาแบบนี้ไม่ต้องฝันถึงปั๊มน้ำมันให้เสียเวลา ข้างทางมีแต่ป่าทั้งนั้น


                "ไม่ครับ ไม่เหนื่อยเลย โอ๊ย! พี่คริส!" แบคฮยอน เบิกตากว้างเพราะถูกอีกคนผลักจนแทบล้ม ชอบเล่นแรงๆอยู่เรื่อยเชียว


                "เด็กขี้โกหก" คริสพึมพำเบาๆกับตัวเอง ทำไมจะไม่รู้ว่าจริงๆแบคฮยอนเหนื่อยล้าแค่ไหน ท่าทางอิดโรยซ้ำยังต้องซ้อนอยู่บนเบาะรถนานๆคงทั้งเหนื่อยทั้งเมื่อย แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังเอาแต่พูดว่าไม่เป็นไร มันน่าตีแรงๆเสียจริง


                คริสอยากให้เราทั้งคู่มีเวลามากกว่านี้ แต่เพราะต้องรีบเดินทางจึงเลือกที่จะเก็บเอาคำถามมากมายของตนไว้ก่อน เขาอยากถามเหลือเกินว่าแบคฮยอนนั้นเป็นอย่างไร ถูกชานยอลทำร้ายหรือเปล่า เจ็บตรงไหนบ้างมั้ย นอนหลับดีมั้ย กินข้าวได้เยอะแค่ไหน ตอนไม่มีเขาอยู่ใกล้ๆนั้นกลัวมากหรือเปล่า อยากจะกอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย อยากจะบอกว่ารักซ้ำแล้วซ้ำอีกไปจนกว่าเราจะตายจากกัน


                "เจ้าหนุ่ม รถเป็นอะไรกันล่ะลูก" เสียงเรียกจากด้านหลังรั้งให้คริสและแบคฮยอนต้องหันกลับไปมอง ชายหญิงสูงวัยสองคนกำลังเข็นรถเหล็กพื้นไม้สำหรับใส่ของที่บัดนี้มันว่างเปล่ากำลังตามหลังพวกเขามา


                "คือ... น้ำมันหมดครับ"


                "เอ้อ แถวนี้ไม่ปั๊มน้ำมันหรอก พวกเอ็งจะเข็นมันไปถึงไหนล่ะ"


                "ไม่มีเลยหรอครับ เลยไปอีกหน่อยก็ไม่มีหรอ?"


                "ไม่มีๆ นู้น พ้นเขตจังหวัดไปนู้น อย่าหาว่าลุงกับป้ายุ่งเลยนะ แต่เห็นพวกเอ็งแล้วก็สงสาร บ้านเราอยู่โค้งหน้านี่เอง คืนนี้ไปพักก่อนได้ ตะวันจะตกดินอยู่แล้ว รุ่งเช้าลุงจะพาไปหาซื้อน้ำมันมาใส่รถ"


                คริสและแบคฮยอนมองหน้ากันอย่างช่างใจ เพราะพวกเขากำลังหนี มันทำให้ระแวงทุกอย่างไปโดยอัตโนมัติ แต่เวลานี้ก็เริ่มเย็นแล้ว ถ้ารั้งจะไปต่อก็ไม่รู้จะพักที่ไหนอยู่ดี ยังไงเสี่ยงดวงตรงนี้คงจะเป็นทางที่ดีมากกว่า


                "ตกลงครับ ขอบคุณมากเลย"


                .
                .
                .


                "ทานอะไรหน่อยเถอะชานยอล"  จุนมยอนเอ่ยกับเพื่อนตัวสูงที่ยังไม่ยอมทานอะไรตั้งแต่แบคฮยอนหนีไปจากบ้านพัก หลังจากส่งแบคฮยอนถึงมือของคริส จุนมยอนจงอินและเทาก็กลับมารับมินซอกที่นี่ จากที่ตั้งใจจะพามินซอกกลับทันทีก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนชานยอลแทนเพราะท่าทางราวกับคนใจสะลายนั้นทำเอาเพื่อนๆกลัวว่าเจ้าตัวจะคิดสั้น


                ดูเหมือนเรื่องที่แบคฮยอนหนีไปแล้วจะยังไม่ถึงหูพวกผู้ใหญ่ มินซอกบอกว่าชานยอลไม่โทรบอกใคร พอเห็นว่ามินซอกสลับตัวกับแบคฮยอนแล้วก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


                "จะตรอมใจแบคฮยอนก็ไม่กลับมาหรอก แล้วเราก็ไม่รู้สึกผิดที่ช่วยแบคฮยอนหนีด้วย"  ถ้าจะมีใครสักคนที่ได้ฉายาว่าเล็กพริกขี้หนูก็คงไม่พ้นมินซอกแน่ ตัวก็เท่านี้ แต่นิสัยนักเลงเสียจริง พูดจาก็ขวานผ่าซากอย่างนั้น จุนมยอนแทบจะวิ่งไปเอามืออุดปากมินซอกเอาไว้เมื่อเจ้าตัวบอกชานยอลด้วยประโยคที่ตัดกำลังใจอย่างถึงที่สุด


                "แล้วต้องทำยังไง ต้องทำยังไงแบคฮยอนถึงจะกลับมา"


                "ทำใจนั่นแหละ แต่แบคฮยอนไม่กลับมาแล้ว หยุดสักทีชานยอล สิ่งที่ตัวทำลงไปน่ะ อย่าว่าแต่แบคฮยอนเลย จริงๆไม่ควรมีใครมาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ ปลอบตัวเองยังทำไม่ได้แล้วจะให้แบคฮยอนกลับมาอยู่ด้วยกันแบบทุกข์ทรมานเพื่ออะไร แบบนั้นใครจะปลอบใครได้ในเมื่อไม่มีใครมีความสุข"


                "มินซอกพูดถูกนะชานยอล พอแค่นี้เถอะ" จุนมยอนเสริมอีกแรง ตอนนี้ทั้งชานยอลและแบคฮยอนก็พังมากพอแล้ว ถ้ายังฝืนสุดท้ายจะไม่มีอะไรที่ซ่อมกลับมาให้เหมือนเดิมได้อีกแล้ว


                ชานยอลยังคงเงียบ แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นนิมิตรหมายที่ดีก็เห็นจะเป็นการที่เจ้าตัวยอมกินข้าวที่จุนมยอนนำมาให้


                "พวกเราต้องกลับกันแล้ว อยู่ที่ชานยอลแล้วนะ ว่าจะทำยังไงต่อไป" คนตัวขาวว่าจบก็เดินนำออกไปหาจงอินและจื่อเทาที่รออยู่ด้านนอก โดยมีมินซอกลุกตามมาติดๆแต่เพื่อนตัวเล็กก็ยังส่งท้ายด้วยการวางมือบนบ่ากว้างของชานยอลแล้วบีบเบาๆ


                "พวกเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่นะ"


                .
                .
                .


                ขายาวก้าวลงจากรถทันทีที่จอดสนิท ชานยอลไม่แม้แต่จะเก็บข้าวของจากบ้านพักกลับมาด้วยซ้ำ เขาอ่อนแรงเกินกว่าจะทำอะไรทั้งนั้น ไม่มีแบคฮยอน ไม่มีอนาคตที่วาดฝันไว้


                "ชานยอล..." คุณหญิงเฮราวิ่งลงมาดูลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่กลับมาบ้านกระทันหัน "ทำไมกลับมาล่ะลูก แล้วแบคฮยอนล่ะจ๊ะ"


                ชานยอลมองผ่านผู้เป็นแม่ไปหานายพลปาร์คที่เดินลงบันไดมาช้าๆ


                "ผมเรียนผูก แต่ไม่เคยเรียนแก้ สุดท้ายเงื่อนตายที่ผมผูกเองมันก็แก้ไม่ได้"


                "แล้วแกทำยังไงกับมันล่ะ" นายพลปาร์คเอ่ยถามพลางสบแววตาที่อ่อนล้าของลูกชาย


                "ผมตัดมันทิ้ง... เชือกที่ผูกแบคฮยอนไว้ ผมตัดมันออก เขาไปแล้วครับ แบคฮยอนไปกับอี้ฟานแล้ว"


                "อะไรนะ!" เฮราที่ได้ยินดังนั้นก็รีบเข้ามารั้งแขนลูกชายเอาไว้ หล่อนไม่เข้าใจว่าที่ชานยอลพูดหมายความว่าอย่างไร "แบคฮยอนไปไหนลูกปล่อยให้แบคฮยอนหนีไปหรอ"


                "ผมเหนื่อยแล้วครับแม่ แม่ไม่เหนื่อยบ้างหรอ" ชานยอลแกะเอามือที่ยืดท่อนแขนของตนไว้ออกก่อนจะเดินขึ้นห้องไปโดยไม่สนว่าผู้เป็นแม่จะพูดอะไรตามหลังมา


                "หยุดนะเฮรา ไม่ต้องตามไป ผมปล่อยให้คุณบงการชีวิตลูกมานานเกินไปแล้ว หยุดเอาความโกรธแค้นของตัวเองไปฝังใส่หัวชานยอลสักที"


                "คุณ!"


                "อยู่เงียบๆไปซะ ผมจะจัดการเรื่องทั้งหมดเอง ผมจะคุยเรื่องนี้กับครอบครัวบยอน เพราะจากนี้มันเป็นเรื่องของแบคฮยอนกับอี้ฟานลูกชายผม"


                .
                .
                .


                คริสและแบคฮยอนกำลังนั่งร่วมวงทานอาหารเช้าง่ายๆที่สองลุงป้าเจ้าของบ้านเตรียมให้ เมื่อคืนพวกเขานอนพักที่นี่ บ้านหลังเล็กตัดเข้ามาจากถนนถึงตีนเขา ลุงกับป้าเจ้าของบ้านมีสวนผลไม้และแปลงผักเล็กๆที่สามารถเก็บไปขายในตลาดข้างทางเป็นรายได้พอกินพอใช้ ทั้งสองคนดูมีความสุขดีจนคริสไม่สงสัยสักนิดว่าทำไมชายหญิงสูงวัยคู่นี้ถึงได้เป็นคนจิตใจดี ใช่ว่าทุกคนจะมีน้ำใจมากพอต้อนรับคนแปลกหน้าให้พักที่บ้านได้ เขาและแบคฮยอนโชคดีจริงๆที่เจอทั้งสองคน


                "เอ็งจะไปซื้อน้ำมันเลยมั้ยล่ะ เดี๋ยวลุงจะขับรถพาไป ปั๊มคงเปิดแล้วล่ะเช้าป่านนี้"


                "คือ... ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ ผมกับน้องขอไปลงท่ารถได้มั้ยครับ แล้วอยากจะรบกวนฝากรถของผมเอาไว้ก่อน"


                "พี่คริส..." แบคฮยอนไม่เข้าใจเอาเสียเลย


                "เอางั้นหรือ แล้วแต่พวกเอ็งเถอะ ในสวนก็ที่เยอะแยะ จะเอารถมาจอดสักสิบคันก็ได้"


                คริสและแบคฮยอนเดินทางมาถุงท่ารถโดยมีคุณลุงผู้ใจดีมาส่งถึงที่ คนตัวสูงอธิบายให้เด็กน้อยเข้าใจว่าหากขับรถมาก็ต้องลำบากหาน้ำมันเติมระหว่างทางอีก ซ้ำยังอาจถูกตามตัวได้ง่ายขึ้นด้วย สู้เดินทางด้วยรถโดยสารปะปนกับผู้คนมากมายน่าจะปลอดภัยกว่า


                คริสชำเลืองมองคนตัวเล็กที่หลับคอพับคออ่อนตั้งแต่ขึ้นรถมาได้ไม่นาน ท่าทางคุณหนูบยอนจะหมดพลังงานไปกับการเดินทางตั้งแต่เมื่อวานนี้ เขาไม่อยากพาแบคฮยอนมาลำบาก แต่เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันมันก็จำเป็นต้องสู้ สัญญากับตนเองในใจว่าจะทำให้อีกฝ่ายสบายที่สุด พาลูกเขามาแล้ว ก็ต้องเลี้ยงให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม


                การเดินทางเนิ่นนานเป็นวันนั้นดูดพลังจากทั้งคู่ไปจนหมด พวกเขาเดินหาห้องพักรายวันที่จะพักผ่อนในคืนนี้ก่อนจะคิดกันอีกทีว่าพรุ่งนี้จะทำย่างไรต่อไป เงินที่พกติดมามีมากพอสมควรที่จะไม่ทำให้เขาและแบคฮยอนต้องอยู่อย่างอดๆอยากๆ แต่มันก็คงไม่พอที่จะนอนกินนอนใช้ไปตลอด พรุ่งนี้ต้องหาที่พักเป็นหลักแหล่งและเขาคงต้องหางานทำสักที่


                "มันไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ห้องพักดีๆคงหาไม่ได้"


                "ไม่เป็นไรหรอกครับ เอาแค่พอนอนได้ พรุ่งนี้เราค่อยเริ่มใหม่นะ" แบคฮยอนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แม้จะลำบากแต่การที่ได้อยู่ด้วยกันก็ทำให้ใจดวงเล็กๆฮึดสู้เหลือเกิน


                สุดท้ายพวกเขาก็ได้โมเต็ลเก่าๆเป็นที่พักชั่วคราว สภาพที่ขาดการดูแลชวนสยองไม่น้อย ไม่ต้องบอกเลยว่าแบคฮยอนกลัวผีซะจนไม่กล้าปิดประตูห้องน้ำ คริสไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับร่างเปลือยเปล่าที่วับๆแวมๆอยู่ใกล้ๆ เขาน่ะเคยเห็นมาหมดแล้ว อาบน้ำขัดตัวให้แบคฮยอนก็ทำมาแล้ว แต่ที่ทำให้ใจกระตุกคงเป็นร่องรอยจ้ำแดงตามตัวนั่นมากกว่า ไม่บอกก็รู้ว่าคนตัวเล็กเจออะไรมา


                ขอสาบานว่าเขาจะฆ่าปาร์คชานยอลแน่ถ้ามีโอกาส


                "อาบเสร็จแล้วครับ พี่คริสจะอาบรึเปล่า"


                "อืม นี่เสื้อผ้ามึง" คริสส่งกระเป๋าเสื้อผ้าที่มินซอกและจุนมยอนเตรียมให้ซึ่งก็เป็นเสื้อผ้าของเด็กสองคนนั้นเอง ครั้นจะไปเก็บเสื้อผ้าของแบคฮยอนมาจากที่บ้านก็คงถูกจับได้แน่  คิดว่าจะไปอาบน้ำ  แต่ก็เปลี่ยนใจ  ร่างสูงยืนมองแบคฮยอนที่กำลังจัดแจงใส่เสื้อผ้า  ยิ่งเห็นรอยช้ำๆนั่นก็ยิ่งทุกข์ใจ  สองขาก้าวตรงไปหาอีกฝ่ายก่อนจะกอดเอาไว้แนบแน่น

                "พี่คริส  เป็นอะไรครับ"

                "มันทำอะไรมึงบ้าง  บอกกูมาให้หมด  รอยพวกนี้มึงเจ็บรึเปล่า"  กระซิบถามข้างหูอย่างอ่อนโยน  หากแบคฮยอนบอกว่าเจ็บ  เขาก็จะปลอบให้หาย  หากบอกว่าโกรธ  เขาก็จะไปฆ่าปาร์คชานยอลให้  ขอเพียงแบคฮยอนบอกมา  เขาจะทำให้ทุกๆอย่าง  ตอนนี้ชีวิตของอู๋อี้ฟานเป็นของบยอนแบคฮยอนแล้ว

                "ไม่...  อย่าพูดถึงเลยนะครับ"  แบคฮยอนหันหน้าสบตาคนตัวสูงที่กอดออดอ้อนอยู่แนบกาย  สองมือเรียวสวยประคองใบหน้าหล่อเอาไว้  เขย่งตัวขึ้นจุมพิตแผ่วเบาก่อนจะถูกโต้ตอบกลับด้วยความลึกซึ้งยิ่งขึ้น

                สองร่างกอดรัดกันพลางป้อนจูบรุนแรงและโหยหา  คริสพาแบคฮยอนมาทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง  ริมฝีปากไม่ห่างจากกันแม้แต่น้อย  สองมือลูบไล้เค้นคลึงผะแผ่ว  แม้ความคิดถึงจะโหมแรงดั่งพายุ  แต่ร่างสูงก็มีสติมากพอที่จะยับยั้งชั่งใจที่จะไม่ทำตามอารมณ์  เขาอยากอ่อนโยนที่สุด  ถนอมแบคฮยอนที่สุด  ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องช้ำไปมากกว่านี้ 

                "อืม...  พี่คริส"  ร่างกายที่ยังค้างคากับการสวมเสื้อผ้าก็โดนมือหนาจับปลดเปลื้องออกไปอีกครั้ง  ร่างกายบิดเร้าจากสัมผัสแผ่วเบาตามผิวกาย  คริสอ่อนโยนจนร่างบอบบางแทบหลอมละลาย  แบคฮยอนหลับตารับทุกๆความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้  ลืมหมดทุกสิ่งที่ผ่านมา  ทุกสิ่งที่ทำให้บอบช้ำ

                คริสละออกจากร่างตรงหน้าแล้วถอดเสื้อผ้าที่แสนน่ารำคาญในช่วงเวลานี้ออกไป  เขาจูบซับทุกๆส่วนที่ขึ้นรอยช้ำให้เห็น  จูบล้างความเจ็บปวดที่แบคฮยอนต้องเจอ  มอบสัมผัสของตนเพื่อรักษาเยียวยาและสร้างความทรงจำที่งดงามให้กับคนตัวเล็ก 

                ร่างกายเปล่าเปลือยเบียดสีกันอย่างเร่าร้อน   คริสจับเอาขาเรียวแยกออกแล้วแทรกเข้าไปตรงกลางเพื่อให้ทุกส่วนแนบแน่นกันยิ่งกว่าเดิม  มือหนาไล้ลงมายังช่องทางด้านหลัง  แบคฮยอนแสดงอาการสะดุ้งเล็กน้อยซึ่งคริสก็เดาว่ามันยังคงเจ็บอยู่  ก้านนิ้วยาวแทรกเข้าไปช้าๆ  ผนังภายในเต้นตุบราวกับจะต่อต้านก่อนที่จะผ่อนคลายลงในที่สุด

                "อือ  ผม... อ๊ะ"  มือเรียวสวยจิกเข้ากับแผ่นหลังแน่นกล้ามเนื้อ  กอดร่างสูงใหญ่เอาไว้สุดแรงเพราะท่อนกายที่แทรกเข้ามาแทนก้านนิ้ว  แน่นอนว่ามันยังคงเจ็บแต่เพราะคนๆนี้คือคริส  แบคฮยอนจึงยอมอดทน 

                "กูรักมึงแบคฮยอน  อืมมมม รักมาก"  เสียงอ่อนโยนพร่ำบอกพลางแทรกกายเข้าออกใส่ร่างบอบบางที่แสนรักและหวงแหน 

                "ผม...  อื้อ  ก็รัก  อ๊ะ อ๊ะ พี่คริส  อ๊ะ"

                บทรักที่แสนหวานและซาบซ่านดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน  ป้อนคำรักพร้อมจุมพิตไม่ห่าง  สอดประสานร่างกายเข้าหากันเป็นจังหวะนุ่มนวล   ส่งทุกๆความรู้สึกผ่านสัมผัสให้ลึกเข้าไปถึงหัวใจ  ค่ำคืนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความรักอย่างแท้จริง  ทั้งคู่เป็นของกันและกันด้วยความเต็มใจ  และจากนี้ก็จะเป็นของกันและกันตลอดไป









#ฟิคสีแดง